คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2484

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนำสืบถึงการกู้ ย่อมนำสืบถึงหนี้เดิมที่แปลงหนี้มาได้ ดดยไม่ต้องกล่าวไว้ในฟ้องหรือคำให้การการที่ศาลล่างพังงาสัญญากู้สมบูรณ์ก็เท่ากับฟังว่าหนี้ที่แปลงมาสมบูรณ์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเป้นเจ้าหนี้นายเขียวตามคำพิพากษา และได้ยึดทรัพย์ของนายเขียว ต่อมาจำเลยกับนายเขียวได้ทำสัญญากู้เท็จ แล้วจำเลยนำสัญญากู้นั้นมาฟ้องนายเขียว จำเลยกับนายเขียวยอมความกันศาลพิพากษาท้ายยอม จำเลยจึงยื่นคำ ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของนายเขียวที่โจทก์นำยึดไว้ โจทก์ขอให้ศาลแสดงว่าสัญญาระหว่างจำเลยกับนายเขียวเป็นโมฆะ จำเลยให้การว่าสัญญาเดิมซึ่งบิดาจำเลยเป็นเจ้าหนี้นายเขียวเมื่อบิดาจำเลยตายนายเขียวเป้นทายาทได้รับมถดก
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนแล้วดำเนินการพิจารราต่อไป ในที่สุดเห็นว่าสัญญาระหว่างจำเลยกับนายเขียวได้ทำขึ้นโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าที่โจทก์ว่าหน้าที่สืบก่อนควรตกจำเลยนั้น เห็นว่าตามข้อหาและคำให้การ หน้าที่สืบก็ตกแก่โจทก์อยู่แล้ว และเห็นว่าฟ้องจำเลยที่ฟ้องนายเขียวก็เป็นความจริงดังนั้น เมื่อแปลงหนี้แล้วจำเลยก็กล่าวอ้างได้ว่าเป็นเจ้าหนี้นายเขียวส่วนที่มาแห่งหนี้เป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้อง การนำสืบของจำเลยจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารราความแพ่ง ม.๙๔ แต่ประการใด ส่วนในข้อที่ดจทก์เถียงว่าสัญญาระหว่างนายเขียวกับนายขาวบิดาจำเลยนั้น จำเลยจะต้องนำสืบว่า ได้ทำขึ้นโดยถูกต้องมิฉะนั้นจะฟังว่าแปลงหนี้ไม่ได้ ในข้อนี้เห็นว่า การที่สาลชี้ขาดว่าสัญญาระหว่างจำเลยกับนายเขียวทำขึ้นโดยสุจริตนั้นก็เท่ากับชี้ขาดด้วยกันว่าสัญญาระหว่างนายเขียวกับนายชาวบิดาจำเลยได้ทำขึ้นโดยสุจริตด้วย จึงเห็นว่าปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ไม่มีทางชนะ จึงพิพากษายืน

Share