คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4250/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าแผ่นซีดี-รอมที่จำเลยร่วมกับพวกขายและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป เป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น และการที่สินค้าเหล่านี้ไม่มีฉลากจำเลยก็ทราบว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะทางราชการได้ประกาศให้ประชาชนทราบในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31(1)(2) มีโทษตามมาตรา 70 วรรคสอง ไม่ผิดตามมาตรา 28,30 และ 69 เนื่องจากจำเลยไม่ได้กระทำแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดยตรง หากแต่กระทำแก่งานที่บุคคลอื่นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นอยู่แล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์งานประเภทวรรณกรรมโดยนำแผ่นซีดี-รอมที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งได้มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยนำออกขาย เสนอขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงกำไรในทางการค้า โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าแผ่นซีดี-รอมดังกล่าวเป็นงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย กรณีจึงต้องตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537มาตรา 31(1)(2) และ 70 วรรคสอง แม้คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 28,30และ 69 ก็ตาม ก็เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45และจำเลยยังมีความผิดฐานขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 30(2) และ 52 วรรคหนึ่งอีกกรรมหนึ่งด้วย
ความผิดตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไม่ได้จำกัดว่าผู้กระทำความผิดจะต้องเป็นเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านเท่านั้น ลูกจ้างหรือใครก็ตามหากรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าสินค้าใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นแล้วยังนำออกขายหรือเสนอขายให้แก่ประชาชนเพื่อหากำไร กฎหมายให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ต้องรับโทษตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรม กล่าวคือ จำเลยได้ละเมิดลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของบริษัทไมโครซอฟต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เสียหายที่ 1 บริษัท อโดเบ ซิสเต็มส์ จำกัดผู้เสียหายที่ 2 บริษัท ออโต้เดสก์ อิงค์. ผู้เสียหายที่ 3 และบริษัท โลตัส ดีเวลลอปเมนต์จำกัด ผู้เสียหายที่ 4 โดยการนำเอาแผ่นซีดีที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ซึ่งได้มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสี่ รวมจำนวน402 แผ่น ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยนำออกขายเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้า โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าแผ่นซีดีที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวเป็นงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสี่ และจำเลยได้เสนอขายแผ่นซีดีที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 58 (พ.ศ. 2536) เรื่อง กำหนดเทปเพลงวีดีโอเทปที่บันทึกเสียงและภาพและแผ่นซีดีที่บันทึกเสียงและภาพเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ลงวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 โดยไม่ปิดฉลากจำนวน 1,611 แผ่น โดยจำเลยรู้หรือควรรู้ว่าการไม่ปิดฉลากดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 28, 30, 61, 69, 75, 76, 78พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 14, 30, 31, 52ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 และริบของกลางทั้งหมดโดยให้แผ่นซีดีของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์จำนวน 402 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องแผ่นซีดีของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์จำนวน 402 แผ่น ให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ส่วนแผ่นซีดีของกลางที่เหลืออีก 1,209 แผ่น ให้ริบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในส่วนของความผิดฐานขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 นายสรรพมัย เลขะกุล นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นร้านซีดีเฮ้าส์ที่อาคารพันธุ์ทิพย์พลาซ่าพบจำเลยอยู่ในร้านและพบแผ่นซีดี-รอมบันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวน 1,611 แผ่น อยู่ในห้องเก็บสินค้าหลังร้าน แผ่นซีดี-รอมทั้งหมดไม่ปิดฉลากตามประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 58 (พ.ศ. 2536) และเป็นแผ่นซีดี-รอมที่ละเมิดลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของผู้เสียหายทั้งสี่จำนวน 402 แผ่น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขายและเสนอขายแผ่นซีดี-รอมที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสี่ให้แก่ประชาชน และร่วมกันขายสินค้าดังกล่าวซึ่งเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลาก

มีปัญหาต่อไปว่าจำเลยรู้อยู่แล้ว หรือมีเหตุอันควรรู้หรือไม่ว่าแผ่นซีดี-รอมเหล่านั้นเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น และการที่ไม่มีฉลากนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ปัญหาข้อนี้เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าแผ่นซีดี-รอมที่จำเลยร่วมกับพวกขายและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปนั้น เป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น และการที่สินค้าเหล่านี้ไม่มีฉลากจำเลยก็ทราบว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะทางราชการได้ประกาศให้ประชาชนทราบในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31(1)(2) มีโทษตามมาตรา 70 วรรคสอง ไม่ผิดตามมาตรา 28, 30 และ 69 เนื่องจากจำเลยไม่ได้กระทำแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดยตรง หากแต่กระทำแก่งานที่บุคคลอื่นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นอยู่แล้ว คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์งานประเภทวรรณกรรมโดยนำแผ่นซีดี-รอมที่บันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้มีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสี่ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยนำออกขาย เสนอขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อแสวงกำไรในทางการค้าโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าแผ่นซีดี-รอม ดังกล่าวเป็นงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสี่ กรณีจึงต้องตามมาตรา 31(1)(2) และ 70 วรรคสอง แม้คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 28, 30 และ 69 ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 31(1)(2) และ 70 วรรคสอง ก็ตามก็เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้า ประกอบด้วยมาตรา 225 และ 215 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 นอกจากนี้จำเลยยังมีความผิดฐานขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 30(2) และ 52 วรรคหนึ่ง อีกกรรมหนึ่งด้วย

ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างไม่ใช่เจ้าของร้านหรือเป็นผู้จัดการซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในร้านหรือเกี่ยวข้องกับร้านเกิดเหตุ จึงไม่ทราบว่าสินค้าที่จำเลยดูแลอยู่เป็นสินค้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ความผิดตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไม่ได้จำกัดว่าผู้กระทำความผิดจะต้องเป็นเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านเท่านั้น ลูกจ้างหรือใครก็ตามหากรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าสินค้าใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นแล้ว ยังนำออกขายหรือเสนอขายให้แก่ประชาชนเพื่อหากำไรกฎหมายให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ต้องรับโทษตามกฎหมาย คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าสินค้าของกลางที่จำเลยร่วมกับพวกขายหรือเสนอขายให้แก่ลูกค้าเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นจำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายดังที่วินิจฉัยมาแล้ว

พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537มาตรา 31(1)(2), 70 วรรคสอง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522มาตรา 30(2), 52 วรรคหนึ่ง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91โดยให้ลงโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์จำคุก 1 ปี ปรับ 200,000 บาท ลงโทษฐานขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากปรับ 7,000 บาท รวมลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 207,000บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก8 เดือน ปรับ 138,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติภายในกำหนดเวลาที่รอการลงโทษทุก 3 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 แผ่นซีดี-รอมของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวน 402 แผ่น ให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ ของกลางนอกนั้นให้ริบ และให้จ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย

Share