คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่ประเด็นที่จำเลยที่ 2 กล่าวในอุทธรณ์ไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว การวินิจฉัยพยานหลักฐานในทางแพ่งเป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักให้เชื่อฟังมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงชี้ขาดให้ฝ่ายนั้นชนะคดี โจทก์มี ด. เจ้าหน้าที่ของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานประกอบเอกสารได้ความสอดคล้องตรงกันแม้โจทก์ไม่ได้ตัวลูกค้าของโจทก์มาเบิกความเป็นพยาน ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีพยานมานำสืบแต่ประการใดเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานขายสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ โดยสัญญาว่าจะร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม เพื่อความเสียหายใด ๆ อันอาจเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1 โจทก์ตรวจพบว่าระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม 2528 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยที่ 1 เก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าของโจทก์ 13 ราย เป็นเงิน 34,913 บาท แล้วไม่ส่งมอบให้แก่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เบียดบังสินค้าของโจทก์ไปหาประโยชน์ส่วนตนโดยอ้างว่ามีลูกค้า 8 ราย สั่งซื้อสินค้า คิดเป็นค่าสินค้า 158,850บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 193,763 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่ได้เบียดบังสินค้าของโจทก์ ค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 เก็บจากลูกค้าได้นำเข้าบัญชีของโจทก์แล้ว เครื่องออโต้โฟกัส รุ่น 1810 พร้อมอุปกรณ์ จำเลยที่ 1 ฝากไว้ที่ร้านนิยมวิทยาและแจ้งให้โจทก์ไปรับคืนแล้ว ส่วนเครื่องอัดสำเนาไซครอส รุ่น เอ็ม – 206 พร้อมอุปกรณ์ จำเลยที่ 1 ได้นำมาคืนให้โจทก์แล้ว ค่าสินค้าตามฟ้องข้ออื่นจำเลยที่ 1 ไม่เคยนำบิลไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้า และไม่เคยได้รับสินค้าตามฟ้องข้ออื่นไปขาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 กับนายบุญชัยลูกจ้างของโจทก์หลอกลวงจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ทำงานเกี่ยวกับด้านการเงิน จำเลยที่ 2 จึงลงชื่อในสัญญาค้ำประกันที่ยังไม่กรอกข้อความ สัญญาค้ำประกันเป็นโมฆะ เพราะโจทก์กรอกข้อความในภายหลังไม่ตรงกับเจตนาของจำเลยที่ 2 อย่างไรก็ตามสัญญาค้ำประกันเกิดจากกลฉ้อฉล และจำเลยที่ 2 ได้บอกล้างโมฆียะกรรมต่อโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ไม่ได้เบิกเงินจากลูกค้าตามฟ้อง ฟ้องโจทก์ข้อ 3เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน193,763 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ในประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมชอบหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยที่ 2ให้การว่า เมื่ออ่านฟ้องแล้วไม่อาจทราบว่าสินค้าตามรายการที่ระบุในฟ้องข้อ 3.1 ถึง 3.8 เป็นสินค้าที่จำเลยที่ 1 ได้นำไปหาประโยชน์อย่างไร และสินค้าดังกล่าวขณะนี้อยู่ที่ใคร ทำให้จำเลยที่ 2ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ประเด็นเรื่องนี้ว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เบียดบังสินค้าหลายรายการของโจทก์ไปหาประโยชน์ส่วนตนย่อมเข้าใจได้เพียงว่าจำเลยที่ 1 ได้นำสินค้าของโจทก์ไปเพื่อหาประโยชน์ใส่ตนเท่านั้น ส่วนสินค้าของโจทก์ยังคงเป็นของโจทก์ เพียงแต่อาจได้รับความเสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 นำสินค้าไปหาประโยชน์ ดังนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 แต่ตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระราคาสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำไปหาประโยชน์ใส่ตน จำเลยที่ 2 ไม่อาจเข้าใจว่าฟ้องโจทก์ต้องการเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาสินค้าของโจทก์เป็นของตน หรือฟ้องกรณีที่จำเลยที่ 1 นำสินค้าของโจทก์ไปหาประโยชน์ใส่ตนแต่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังเป็นของโจทก์อยู่ เห็นว่า ประเด็นที่จำเลยที่ 2 กล่าวในอุทธรณ์ไม่ตรงกับที่จำเลยที่ 2 เคยให้การไว้ ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา225 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
ปัญหาต่อไป จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 เก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าแล้วไม่นำเงินส่งให้โจทก์ กับจำเลยที่ 1 อ้างว่าลูกค้าได้สั่งซื้อสินค้า โจทก์ได้ส่งสินค้าไปให้แล้ว 8 รายการ แต่ลูกค้าอ้างว่าไม่ได้ซื้อ โจทก์คงมีแต่นางดวงพร ธัญลักษณ์ภาคย์เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.9-จ.29 โดยไม่มีตัวลูกค้ามาเบิกความจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า การวินิจฉัยพยานหลักฐานในทางแพ่งเป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักให้เชื่อฟังมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงชี้ขาดให้ฝ่ายนั้นชนะคดีในปัญหานี้โจทก์มีนางดวงพรมาเบิกความเป็นพยานประกอบเอกสารหมาย จ.9-จ.29 ได้ความสอดคล้องตรงกัน แม้โจทก์ไม่ได้นำตัวลูกค้ามาเบิกความเป็นพยานก็มีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีพยานมานำสืบในข้อนี้แต่ประการใดเลย จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1เก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าแล้วไม่ส่งให้โจทก์ กับได้เบียดบังสินค้าของโจทก์ไปตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share