คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4230/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยเป็นอิสลามศาสนิก มีภูมิลำเนาในจังหวัดนราธิวาส สมรสกันถูกต้องตามหลักกฎหมายอิสลามและจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์มาฟ้องหย่าจำเลยโดยบรรยายเหตุแห่งการหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สภาพแห่งข้อหาจึงเป็นเรื่องครอบครัว ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 มาตรา 3 ที่ให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงต้องใช้เหตุฟ้องหย่าตามหลักกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้แทน ป.พ.พ. มาตรา 1516 เมื่อโจทก์ได้ถูกตัดสินให้หย่าขาดจากการเป็นภริยาจำเลยโดยคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส โดยระบุไว้ในหนังสือการหย่าร้างว่า คำตัดสินนี้เป็นคำชี้ขาดตามหลักศาสนาและกฎระเบียบทุกประการ จึงเป็นการหย่ากันโดยชอบตามหลักกฎหมายอิสลาม มีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้เช่นเดียวกับการหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และสามารถนำไปใช้เพื่อจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้เลย โดยโจทก์ไม่จำต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาล ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ศาลชั้นต้นจึงให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยเป็นอิสลามศาสนิก มีภูมิลำเนาในจังหวัดนราธิวาส สมรสกันถูกต้องตามหลักกฎหมายอิสลามและจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แล้วโจทก์มาฟ้องหย่าจำเลยโดยบรรยายเหตุแห่งการหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สภาพแห่งข้อหาจึงเป็นเรื่องครอบครัว ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.2489 มาตรา 3 ที่ให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อปัญหาข้อกฎหมายที่ใช้วินิจฉัยคดีนี้เป็นเรื่องเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 จึงต้องใช้เหตุฟ้องหย่าตามหลักกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้ คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้ถูกตัดสินให้หย่าขาดจากการเป็นภริยาของจำเลยแล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 ด้วยเหตุที่จำเลยได้กระทำผิดสัญญาที่ได้กล่าวไว้ในทะเบียนสมรส ซึ่งเหตุฟ้องหย่ากรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสได้พิจารณาไตร่ตรองแล้ว โดยระบุไว้ตอนท้ายเอกสารว่า คำตัดสินนี้เป็นคำชี้ขาดตามหลักศาสนาอิสลามและกฎระเบียบทุกประการ จึงเป็นการหย่ากันโดยชอบตามหลักกฎหมายอิสลามนับแต่นั้น การหย่ามีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้เช่นเดียวกับการหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หลักฐานการหย่าตามกฎหมายอิสลามสามารถนำไปใช้เพื่อจดทะเบียนหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้เลย โดยไม่ต้องนำมาฟ้องเป็นคดีใหม่ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คำฟ้องและคำขอบังคับของโจทก์พอแปลได้ว่าโจทก์ฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 ก็เพื่อจะนำคำพิพากษาไปจดทะเบียนการหย่าต่อเจ้าพนักงานให้ปรากฏชัดแจ้งในทางทะเบียน จึงเห็นสมควรมีคำสั่งในส่วนนี้เพื่อให้มีผลทางปฏิบัติต่อไป
พิพากษายืน โจทก์และจำเลยหย่ากันโดยชอบตามหลักกฎหมายอิสลามแล้ว จึงให้เจ้าพนักงานจดทะเบียนการหย่าให้โจทก์และจำเลยตามคำพิพากษานี้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share