แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินค่าภาษีอากรขายข้าวส่งไปขายต่างประเทศเป็นหน้าที่ของผู้ส่งออกจะต้องเสียเงินค่าภาษีอากร
โจทก์ขายข้าวให้สำนักงานข้าวเพื่อส่งออกไปขายต่างประเทศ การที่โจทก์ได้ออกเงินค่าภาษีทดรองให้สำนักงานข้าวไปก่อน และได้รับชดใช้คืนในภายหลังนั้น เงินจำนวนนี้ไม่ถือว่า เป็นรายรับที่ได้รับจากการค้า อันจะต้องคำนวณเสียภาษีการค้า
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ มี.ค.๙๗ เจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากรได้ประเมินภาษีการค้าให้โจทก์เสียภาษีการค้าประจำปี ๒๔๙๖ เพิ่งขึ้นจากที่ได้รับชำระอีก ๓๑,๓๓๑.๗๐ บาท และเพิ่มร้อยละ ๒๐ อีก ๖,๒๖๖.๓๔ บาท โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่ออธิบดีกรมสรรพากรๆ ชี้ขาดว่าโจทก์ต้องเสียภาษีตามนั้น โจทก์เห็นว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและอธิบดีกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเงินจำนวนที่ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าเพิ่มนั้น เป็นเงินค่าภาษีศุลการข้าวขาออกที่โจทก์ได้รับชดใช้คืนจากสำนักงานข้าวองค์การของรัฐบาล ซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าภาษีศุลกากรข้าวขาออกทดรองไปก่อนในฐานะเป็นตัวแทนของสำนักงานข้าว การที่ตัวแทนได้รับเงินคืนจากตัวการ ไม่ใช่เป็นรายรับอันพึงต้องประเมินเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่ควรเสียภาษีการค้าเพิ่ม ขอให้ยกคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและอธิบดีกรมสรรพากรที่ให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มนั้นเสีย
จำเลยให้การว่าโจทก์ได้รับเงินค่าข้าวอันเกิดจากสัญญาซื้อขายเต็มตามราคาข้าวในสัญญา แม้โจทก์จะแยกใบรับเงินเป็นใบรับเงินค่าข้าวและใบรับเงินทดรองค่าอากรขาออก ก็เป็นการรับเงินค่าข้าวเต็มตามราคาที่กำหนดในสัญญา ซึ่งกรมสรรพากรถือว่า เงินที่โจทก์ได้รับชดใช้จากสำนักงานข้าวตามจำนวนและราคาในสัญญานั้น เป็นรายรับของโจทก์ที่ได้รับเนื่องจากการประกอบหรือดำเนินการค้าของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร ๒๔๘๑ มาตรา ๗๘ แก้ไข มาตรา ๔๐ พ.ศ. ๒๔๙๖ (ฉบับที่ ๑๐) อนึ่ง การที่โจทก์แยกการรับเงินดังกล่าวนั้นเป็นการแยกโดยเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีการค้า เพราะได้แยกภายหลังที่ได้ใช้ประมวลรัษฎากร ๒๔๙๖ (ฉบับที่ ๑๐) แล้ว และการชำระเงินอากรขาออกไป ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องกระทำตามสัญญาซื้อขาย จึงไม่ใช่การเป็นตัวการตัวแทน
โจทก์จำเลยอ้างเอกสารเป็นพยาน และแถลงรับเอกสารบางข้อ แล้วไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลแพ่งฟังว่า โจทก์ทำการในหน้าที่ตัวแทนสำนักงานข้าว โดยออกเงินทดรองค่าภาษีแทนสำนักงานข้าว คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและอธิบดีกรมสรรพากรจำเลยให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มอีก จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินและอธิบดีกรมสรรพากร
จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกามีใจความว่า โจทก์มิได้เป็นตัวแทนสำนักงาน หากแต่เป็นผู้ส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศเอง โดยซื้อข้าวจากสำนักงานข้าว จึงมีหน้าที่เสียภาษี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามเอกสาร จ.๓,๕ และ ๖ ซึ่งโจทก์จำเลยแถลงรับกันมีใจความว่า “ตามที่พ่อค้าข้าวขอให้แยกการจ่ายเงินค่าข้าวออกต่างหากจากจำนวนเงินค่าอากรขาออก ที่เขาจ่ายแทนสำนักงานข้าวไป เพื่อมิให้เป็นปัญหาในเรื่องการเสียภาษีการค้านั้น เห็นควรปฏิบัติตามความประสงค์ เพราะสำนักงานเป็นผู้ส่งข้าวออก หน้าที่การเสียภาษีอากรขาออกย่อมเป็นของสำนักงานข้าว จึงไม่เป็นการสมควรให้เขาต้องเสียภาษีการค้าสำหรับเงินค่าอากรขาออกที่ได้จ่ายทดรองไป ฯลฯ และรัฐมนตรีเห็นชอบ” ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า สำนักงานข้าวเป็นผู้ส่งออก และโจทก์ได้ออกเงินค่าภาษีทดรองไปก่อนไม่มีข้อความแสดงว่า โจทก์เป็นผู้ส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศ ฉะนั้นถือว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่โจทก์ทดรองค่าภาษีไปก่อนและได้รับชดใช้คืนมา จึงไม่ใช่เงินที่ได้รับจากการค้า จะถือเป็นรายรับอันจะต้องคำนวณเสียภาษีการค้าไม่ได้ พิพากษายืน