แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค3ฟังข้อเท็จจริงว่าการจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงแม้การจัดการมรดกจะล่วงเลยมาเกินกว่าห้าปีแล้วคดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยตามความประสงค์ของเจ้ามรดกแล้วขอออกโฉนดที่ดินโจทก์และทายาทอื่นไม่คัดค้านถือได้ว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่นการจัดการมรดกจึงได้สิ้นสุดลงเป็นเวลาเกินกว่าห้าปีแล้วคดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1733เป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอายุความต้องห้ามตามบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายช่วย ปรางริน แบ่งที่ดินที่เป็นมรดกให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 76 ตารางวา ถ้าการแบ่งไม่เป็นที่ตกลงกันให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วเนื่องจากโจทก์ฟ้องเกินกว่า 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง เนื้อที่ที่โจทก์ขอแบ่งไม่ถูกต้องโจทก์ไม่เคยขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยเพราะโจทก์ได้ที่ดินแปลงอื่นไปแล้วจำเลยได้ที่ดินพิพาทเพราะเลี้ยงดูบิดามารดาและเป็นผู้จัดการศพของบิดามารดาโจทก์ขอทางรถเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยเพื่อทำถนนเข้าไปในที่ดินของตน แต่จำเลยไม่ยินยอม โจทก์จึงโกรธและฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งปันที่ดินมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วน คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน76 ตารางวา ถ้าแบ่งไม่ได้ให้ประมูลกันระหว่างทายาททุกคนหากจัดประมูลไม่ได้ให้ยึดออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ผู้ตายมิได้ทำพินัยกรรมไว้ที่ดินพิพาทจึงตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของผู้ตาย โจทก์และจำเลยเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิได้รับที่ดินพิพาทตามส่วนของตนจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ไม่ได้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และทายาทอื่น แต่กลับโอนที่ดินพิพาทและต่อมาขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลย ถือได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่นที่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาท การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงแม้การจัดการมรดกจะล่วงเลยมาเกินกว่าห้าปีแล้ว คดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความจำเลยฎีกาว่า จำเลยโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยตามความประสงค์ของเจ้ามรดกแล้วขอออกโฉนดที่ดิน โจทก์และทายาทอื่นไม่คัดค้านถือได้ว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่นการจัดการมรดกจึงได้สิ้นสุดลงเป็นเวลาเกินกว่าห้าปีแล้วคดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1733เป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอายุความ ต้องห้ามตามบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้น
พิพากษายกฎีกาจำเลย