คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4226/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานหลักฐานว่าโจทก์กับจำเลยที่1มีหนี้สินกันอยู่จริงหรือไม่อันเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าหนี้นั้นบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2494มาตรา22การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และอุทธรณ์ของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คชำระหนี้โจทก์แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4จำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อแรกซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยให้นั้น เป็นการไม่ชอบ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คโดยมีจำเลยที่ 2 สลักหลังมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 14 กันยายน 2535เอกสารหมาย จ.2 โดยโจทก์รับเช็คพิพาทวันที่ 14 กันยายน 2535ซึ่งเป็นวันเกี่ยวกับที่ทำสัญญากู้ ถึงแม้โจทก์จะอ้างว่าจำเลยที่ 1กู้ยืมเงินโจทก์ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่จำเลยก็ปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า ก่อนจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 กับโจทก์มีหนี้สินกันอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์มีใจความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีการกู้ยืมเงินกันจริง โดยจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หลายครั้งรวมแล้วเป็นเงิน 750,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอรวมเงินที่กู้ยืมไปเป็นจำนวนเดียวกัน และทำสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 14 กันยายน 2535ตามเอกสารหมาย จ.2 กับสั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3เพื่อชำระหนี้กู้ยืมตามสัญญากู้ดังกล่าวในวันเดียวกันคำเบิกความของจำเลยทั้งสองฟังไม่ได้ ต้องฟังตามสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.2 ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์เป็นหนี้ที่มีอยู่จริงแม้จะทำสัญญากู้ภายหลังที่รับเงินไปนานแล้วสัญญากู้ดังกล่าวก็มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 1ออกเช็คพิพาทโดยจำเลยที่ 2 สลักหลังเป็นการชำระหนี้กู้ยืมที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายนั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานหลักฐานในข้อที่ว่าก่อนจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 กับโจทก์มีหนี้สินกันอยู่จริงหรือไม่ อันเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู้ข้อกฎหมายว่า หนี้นั้นบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น คดีต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และอุทธรณ์ของโจทก์

Share