แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาแบ่งปันมรดก เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ผู้เป็นทายาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ (อ้างฎีกาที่ 2180/2517)
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์โดยไม่ได้หมายเรียกจำเลยมาแก้คดี ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นรับฟ้อง จำเลยฎีกาได้ (อ้างฎีกาที่ 474/2503)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเกียรติสามีโจทก์ได้จดทะเบียนรับบุตรจำเลยมาเป็นบุตรบุญธรรม ๑ คน ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ สามีโจทก์ถึงแก่กรรม ศาลได้มีคำสั่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายเกียรติตามคำร้องของโจทก์แล้ว หลังจากนั้นจำเลยกับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาแบ่งปันมรดกกับโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายเกียรติรวม ๒ ครั้ง ต่อมาศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทำสัญญาแบ่งปันมรดก ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗/๒๕๑๐ จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบทรัพย์สินบางอย่างแก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลย ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๗/๒๕๑๕ ของศาลจังหวัดภูเก็ต การแบ่งทรัพย์มรดกของนายเกียรติทำไปไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการฉ้อฉลของจำเลยกับพวก คำสั่งของศาลที่อนุญาตให้แบ่งทรัพย์มรดก ทำให้โจทก์เสียเปรียบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๐ และสัญญาแบ่งปันมรดกฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๐ และคำสั่งศาลที่อนุญาตให้แบ่งปันนั้นเสียมิให้ใช้ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ หากโจทก์ไม่ยอมเสียก็ไม่รับคำคู่ความนี้
โจทก์แถลงยืนยันว่าคดีของโจทก์เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีของโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาแบ่งปันมรดกนี้ เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ผู้เป็นทายาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๘๐/๒๕๑๗ และแม้ศาลชั้นต้นจะได้สั่งไม่รับฟ้องของโจทก์โดยยังไม่ได้หมายเรียกจำเลยให้มาแก้คดีก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๔/๒๕๐๓
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น