คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำนองที่นามือเปล่า 1 แปลงไว้กับจำเลย โดยมีข้อสัญญาว่า ถ้าครบ 3 ปี ไม่ไถ่โจทก์ยอมยกที่นารายนี้ให้เป็นกรรมสิทธิแก่จำเลย เมื่อครบ 3 ปีแล้วโจทก์ไม่สามารถไถ่คืน จึงมอบที่ให้จำเลยครอบครองตลอดมาเป็นเวลา 15 ปี ดังนี้ แม้สัญญาจะไม่สมบูรณ์ตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 711 ก็ดี ที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลยตลอดมา 15 ปี เป็นการล่วงเลยกำหนดเวลาไถ่ถอนตามสัญญานานแล้ว กรณีมีเหตุแสดงว่าจำเลยครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของและทั้งตามบทบัญญัติแห่ง ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1369 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตนดังนี้ จึงเป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้น เมื่อโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพะยาน ก็ต้องถือว่าที่พิพาทตกเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้ว.
(อ้างฎีกา 279/2490)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๗๒ โจทก์ได้จำนองที่นาโจทก์ไว้กับจำเลย โดยทำหนังสือและจดทะเบียนต่ออำเภอและได้ให้จำเลยทำนารายนี้ต่างดอกเบี้ยตลอดมา ครั้นเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๔๘๕ โจทก์ไปขอไถ่ จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับและให้จำเลยออกจากที่รายนี้ จำเลยให้การว่า โจทก์ได้เอานารายที่ฟ้องมาจำนำจำเลยไว้ ๓ ปี โดยโจทก์เป็นผู้ทำนาทุกปีตามสัญญามีว่า โจทก์จะต้องไถ่นารายนี้คืนภายใน ๓ ปี ถ้าครบ ๓ ปีไม่ไถ่ โจทก์ยอมยกที่นารายนี้ให้เป็นสิทธิแก่จำเลย เมื่อครบ ๓ ปีโจทก์ไม่สามารถไถ่คืน จึงมอบที่นารายนี้ให้จำเลยเป็นกรรมสิทธิ จำเลยได้ใช้สิทธิครอบครองตลอดมาจนบัดนี้โดยสงบและเปิดเผย โจทก์ไม่มีสิทธิขอไถ่คืน และไม่เคยยินยอมให้โจทก์ไถ่คืน
คู่ความรับกันว่า ที่พิพาทเป็นที่นามือเปล่า ได้ทำสัญญาที่ทำต่อกรมการอำเภอไว้จริง โจทก์อ้างว่าตามข้อสัญญาที่ว่าให้ผู้จำนำไถ่ได้ภายใน ๓ ปี หากไม่ยอม ยกให้เป็นกรรมสิทธินั้นตกเป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนกฎหมาย คู่ความไม่ติดใจสืบพะยาน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนนาให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อตกลงดังกล่าวไม่สมบูรณ์ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๗๑๑ ก็ดี แต่ที่รายนี้เป็นที่มือเปล่า คดีนี้รับกันว่าที่พิพาทตกอยู่ในความครอบครองของจำเลยตลอดมา ๑๕ ปีเป็นการล่วงเลยกำหนดเวลาไถ่ถอนตามสัญญานานแล้ว กรณีมีเหตุแสดงว่า จำเลยได้ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของและทั้งตามบทบัญญัติแห่ง ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๓๖๙ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านให้สันนืษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน ดังนี้ คดีนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้น เมื่อโจทก์ จำเลยต่างไม่ติดใจสืบพะยาน ก็ต้องถือว่าที่พิพาทตกเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้ว
พิพากษากลับ ยกฟ้อง

Share