คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3235/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ที่เกิดเหตุมืดสลัว ผู้เสียหายเตะจำเลยก่อน จำเลยจึงฟันผู้เสียหายไป 1 ที แล้วมิได้ฟันซ้ำอีกซึ่งลักษณะของขวานของกลางเป็นอาวุธที่หนักและมีคม ถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่าก็ย่อมจะฟันแรง บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจึงไม่ฉกรรจ์ ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเรื่องหมางใจกันมาก่อน ดังนี้ จำเลยมีเจตนาทำร้ายไม่มีเจตนาฆ่า การที่ผู้เสียหายเตะจำเลยก่อนถูกอัณฑะโดยไม่มีเหตุผลใด ๆเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยฟันผู้เสียหายไปในทันที ดังนี้ เป็นการกระทำเพราะบันดาลโทสะ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 5 คงจำคุก 8 ปี ริบขวานของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วย มาตรา 72 จำคุก3 เดือน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายถูกจำเลยฟันด้วยขวาน 1 ทีที่ขมับซ้ายเป็นแผลลึกถึงกระดูกและกระดูกเบ้าตาซ้ายหัก ต้องรับการรักษานานราว 40 วันจึงจะหาย ปรากฏรายละเอียดตามรายงานการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง วันเดียวกันนั้นเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยขวานเป็นของกลาง ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยรับว่าได้ใช้ขวานของกลางฟันผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหายเตะจำเลยได้รับบาดเจ็บ มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้องโจทก์หรือไม่เห็นว่านายก๋องดำหย่อทอง และนายต่อม นามดี พยานโจทก์ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่าได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องโดยระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนฟันตน ไม่ปรากฏจากคำพยาน 2 ปากนี้ว่า ก่อนที่ผู้เสียหายจะร้องได้เห็นจำเลยฟันผู้เสียหายดังนั้น ก่อนที่จำเลยจะฟันผู้เสียหายมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พยานทั้งสองคงมิได้รู้เห็นเป็นเพราะบริเวณที่เกิดเหตุมืดไม่เห็นผู้เสียหายและจำเลยชัดเจนพอ ข้อที่ผู้เสียหายเบิกความว่าพอทักทายจำเลยจำเลยก็เข้าฟันผู้เสียหายทันที จึงมีแต่คำผู้เสียหายปากเดียว ไม่มีพยานอื่นสนับสนุน จำเลยนำสืบว่าผู้เสียหายเมาสุราเตะจำเลยก่อน ซึ่งในเรื่องผู้เสียหายเมาสุรานี้ คำเบิกความของนายต่อมพยานโจทก์เจือสมคำเบิกความของจำเลย ที่ผู้เสียหายเบิกความตอบข้อซักค้านของทนายจำเลยปฏิเสธว่ามิได้ดื่มสุรามาก่อนเกิดเหตุ ขัดกับคำนายต่อมเป็นพิรุธน่าระแวงว่าผู้เสียหายพยายามปกปิดเหตุการณ์อันแท้จริงที่เกิดขึ้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยและผู้เสียหายมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน กรณีจึงไม่มีเหตุเพียงพอที่จำเลยจะฆ่าผู้เสียหาย เชื่อว่าผู้เสียหายทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยจึงฟันผู้เสียหายภายหลังดังที่จำเลยนำสืบ

ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพยานหลักฐานโจทก์ประกอบกับคำให้การจำเลยในชั้นพิจารณาไม่อยู่กับร่องรอย แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายนั้น เห็นว่าก่อนที่ผู้เสียหายจะร้องระบุว่าจำเลยฟันตนนั้น โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นถึงมูลเหตุที่เกิดฟันกัน นอกจากคำเบิกความอันเป็นพิรุธของผู้เสียหายดังกล่าวแล้ว ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การยืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่าผู้เสียหายทำร้ายจำเลยก่อน ตามคำให้การจำเลยเอกสารหมาย จ.6 ที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องในตอนแรก จึงน่าจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะจำเลยรับว่าใช้ขวานฟันผู้เสียหายมาตั้งแต่ในชั้นสอบสวนแล้ว และในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ก็คงรับในเรื่องใช้ขวานฟันผู้เสียหายเช่นเดิม ในข้อที่จำเลยให้การต่อศาลครั้งหลังว่าจำเลยฟันผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นคำให้การที่ยกข้อต่อสู้เพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษเช่นเดียวกัน ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่ถึงขนาดที่จะฟังเป็นพิรุธว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ที่เกิดเหตุมืดสลัว ผู้เสียหายเตะจำเลยก่อน จำเลยจึงฟันผู้เสียหายไป 1 ที แล้วมิได้ฟันซ้ำอีก ซึ่งลักษณะของขวานของกลาง เป็นอาวุธที่หนักและมีคม ถ้าจำเลยเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็ย่อมจะฟันแรง บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับน่าจะฉกรรจ์มากกว่าที่ปรากฏในรายงานการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ประกอบกับผู้เสียหายและจำเลยไม่มีเรื่องหมางใจกันมาก่อน จึงฟังได้ว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยมีเจตนาทำร้ายไม่ถึงมีเจตนาฆ่า อีกทั้งการที่ผู้เสียหายเตะจำเลยก่อนถูกอัณฑะโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ที่จำเลยฟันผู้เสียหายไปในทันที ย่อมเป็นการกระทำเพราะบันดาลโทสะศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเพราะบันดาลโทสะชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share