คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4198/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 อยู่ในที่พิพาทโดยขออาศัยจากเจ้าของเดิม ต่อมาเจ้าของเดิมได้โอนสิทธิครอบครองมายังโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทก็จะต้องอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินคนใหม่คือโจทก์อยู่ต่อไปจนกว่าจำเลยผู้อาศัยจะแสดงโดยชัดแจ้งว่าไม่ประสงค์จะครอบครองแทนโจทก์ การที่จำเลยล้อมรั้วในที่พิพาทก็ดีปลูกเรือนสองชั้นในที่พิพาทก็ดี ยังหาเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ขอแบ่งแยกที่ดินจากโจทก์ก็ฟังได้แต่เพียงจะขอสิทธิครอบครองที่พิพาทจากโจทก์เป็นการครอบครองด้วยตนเองเท่านั้น ซึ่งโจทก์ก็ปฏิเสธและยังมิได้แบ่งแยกให้สิทธิครอบครองของโจทก์ในที่พิพาทจึงยังไม่เปลี่ยนแปลง จำเลยทั้งสองเพิ่งกระทำการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยชัดแจ้งหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวให้รื้อถอนเรือนออกจากที่พิพาทและจำเลยไม่ยอมรื้อตามคำบอกกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้หลังจากนั้นยังไม่ครบปี โจทก์จึงยังไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเอาสิทธิครอบครองที่พิพาทคืนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยที่ 1 เป็นบุตรโจทก์และภรรยาจำเลยที่ 2 อาศัยโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว จำนวนเนื้อที่ 1 งาน โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินต่อไป จึงได้บอกเลิกให้อาศัยที่ดินให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายบ้านออกไป แต่จำเลยไม่ยอมออก ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารถอนขนย้ายบ้านออกไปจากที่ดินดังกล่าว ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องต่อไป หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์มีสิทธิเป็นผู้รื้อถอนขนย้ายบ้านของจำเลย โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนขนย้ายบ้านเลขที่ 59 เสร็จสิ้น

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายพร นางเลย บุญชื่น จำเลยที่ 1 มาอาศัยนายพร นายเสย บุญชื่น อยู่ในที่พิพาท ดังนั้นเมื่อปรากฏต่อมาว่าเจ้าของที่พิพาทได้โอนสิทธิครอบครองมายังโจทก์จำเลยที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทก็จะต้องอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินคนใหม่คือโจทก์อยู่ต่อไปจนกว่าจำเลยผู้อาศัยจะแสดงโดยชัดแจ้งว่าไม่ประสงค์จะครอบครองแทนต่อผู้มีสิทธิครอบครองต่อไปซึ่งตามพฤติการณ์ในคดีนี้การที่จำเลยล้อมรั้วในที่พิพาทก็ดี การปลูกเรือนสองฃั้นในที่พิพาทก็ดี ยังหาเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ซึ่งรับโอนที่พิพาทมาจากผู้มีสิทธิครอบครองเดิมไม่ เพราะการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย เพื่อให้การอยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น และเป็นการถือวิสาสะทำขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 มีความเกี่ยวพันกับโจทก์ผู้เป็นมารดาก็เป็นได้ ที่จำเลยที่ 1 ขอแบ่งแยกที่ดินจากโจทก์ก็ฟังได้แต่เพียงจะขอสิทธิครอบครองที่พิพาทจากโจทก์เป็นการครอบครองด้วยตนเองเท่านั้น ซึ่งโจทก์ก็ปฏิเสธและยังมิได้แบ่งแยกให้ สิทธิครอบครองของโจทก์ในที่พิพาทจึงยังหาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดไม่จำเลยทั้งสองเพิ่งกระทำการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยชัดแจ้งหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวให้รื้อถอนเรือนเลขที่ 59 ออกจากที่พิพาทและจำเลยไม่ยอมรื้อตามคำบอกกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้หลังจากนั้นยังไม่ครบ 1 ปีโจทก์จึงยังไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเอาสิทธิครอบครองที่พิพาทคืนจากจำเลย ส่วนประเด็นเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์เบิกความว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา เห็นว่าจำเลยทั้งสองใช้ที่พิพาทปลูกเรือนอยู่อาศัยค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท ตามที่โจทก์ขอจึงเป็นจำนวนพอสมควรแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่คำขอของโจทก์ที่จะขอรื้อถอนบ้านเองในกรณีที่จำเลยไม่ยอมรื้อนั้นไม่ชอบตามมาตรา 296 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ชอบที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติดังกล่าว

พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารให้รื้อถอนขนย้ายบ้านเลขที่ 59หมู่ที่ 7 ออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 248ตำบลเขาใหญ่ (นายาง) หมู่ที่ 7 (13) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ200 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนบ้านเลขที่ 59 และขนย้ายออกไปเสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share