คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1639/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีตำแหน่งเป็นครูประชาบาลเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นจัตวา นายอำเภอซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการแผนกศึกษาธิการ ให้ทำหน้าที่จัดการศาสนสมบัติอันเป็นราชการได้ เมื่อจำเลยเบิกเงินศาสนสมบัติมาแล้วเบียดบังเอาไปเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต จึงมีความผิดตามมาตรา 147 แม้เงินศาสนสมบัติที่ยักยอกไปเป็นเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน ก็หาใช่ข้อสำคัญแห่งคดีไม่ เพราะฟังได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยเบิกมาตามหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ชั้นจัตวา ตำแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอเมืองสมุทรสงคราม ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรับ เบิกจ่าย และเก็บรักษาเงินผลประโยชน์ของทางราชการ และเงินอื่น ๆ ตลอดจนเก็บเงินผลประโยชน์ ของวัดต่างๆ ซึ่งทางอำเภอเป็นผู้จัดการศาสนสมบัติของวัดด้วย จำเลยที่ ๒ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นจัตวา ตำแหน่งครูโรงเรียนวันสุวรรณคงคาราม ผู้บังคับบัญชาเรียกมาช่วยราชการแผนกศึกษาธิการ ทำหน้าที่เสมียน มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินผลประโยชน์ของวัดต่างๆ ในเขตท้องที่อำเภอเมืองนำเข้าบัญชีแล้วรวบรวมส่งแผนกศึกษาธิการจังหวัดเพื่อนำส่งคลังนำเข้าเป็นเงินผลประโยชน์ของวัด ส่วนภูมิภาคต่อไป และเป็นเจ้าหน้าที่จัดการเบิกเงินผลประโยชน์ของวัดจากคลังจังหวัดนำมาลงบัญชีและเก็บรักษาไว้ แล้วจ่ายให่แก่วัดต่างๆ ตามที่ขอเบิกมาโดยจำเลยที่ ๑ และศึกษาธิการอำเภอเป็นผู้บังคับบัญชา ครั้นเมื่อเจ้าอาวาสวัดวชิรคามได้ขอเบิกเงินผลประโยชน์ของวัดเพื่อเป็นค่าซื้อไม้ซ่อมแซมกุฏิ ๓,๕๑๔.๙๐ บาท จำเลยทั้งสองได้ทำบันทึกเสนอผู้บังคับบัญชาจนได้รับอนุญาตจำเลยเบิกและรับเงินดังกล่าวจากคลังจังหวัดแล้วร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ยักยอกเบียดบังเอาเงินดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗,๑๕๑,๑๕๗,๓๕๒,๓๕๔ และให้คืนเงิน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดมาตรา ๑๔๗,๘๓ จำคุกคนละ ๕ ปี ให้คืนหรือใช้เงิน ๒,๐๑๔.๙๐ บาท เพราะนอกนั้นได้คืนแล้ว
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฎีกาจำเลยที่ ๒ แม้จำเลยที่ ๒ มีตำแหน่งเป็นครูประชาบาลเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นจัตวา แต่นายอำเภอเมืองสมุทรสงครามผู้บังคับบัญชีเรียกมาช่วยราชการแผนกศึกษาธิการ ให้ทำหน้าที่จัดการศาสนสมบัติอันเป็นราชการซึ่งนายอำเภอในฐานะที่เป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการในอำเภอและรับผิดชอบงานบริหารราชการของอำเภอตามพระราชบัญญัติบริหารราชการฯ พ.ศ.๒๔๙๕ มาตรา ๔๐ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔๓ ย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่ราชการดังกล่าวได้ ไม่เป็นการขัดกฎหมาย จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการศาสนสมบัติ เบิกเงินศาสนสมบัติมาได้แล้วเบียดบังเอาไปเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต จึงมีความผิดตามมาตรา ๑๔๗ ข้อโต้เถียงของจำเลยที่ ๒ ที่ว่า เงินศาสนสมบัติที่ยักยอกไปเป็นเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน หาใช่ข้อสำคัญแห่งคดีไม่ เพราะฟังได้ว่าเงินศาสนสมบัติดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยที่ ๒ เบิกมาตามหน้าที่
เมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดมาตรา ๑๔๗ ซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ ข้อที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคดีขาดอายุความ ย่อมตกไป (มาตรา ๙๖)
พิพากษายืน

Share