คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4197/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับสิทธิและประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แต่จำเลยไม่สามารถนำวัตถุดิบที่นำเข้าและได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด เนื่องจากวัตถุดิบที่นำเข้าถูกไฟไหม้ โดยจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือมีส่วนร่วมกระทำหรือประมาทเลินเล่อ และยังเป็นเหตุสุดวิสัย เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยจงใจ และเหตุดังกล่าวเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยจะบังคับได้ การที่จำเลยได้รับการส่งเสริมให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบที่นำเข้าก็เนื่องจากรัฐต้องการส่งเสริมการลงทุน มุ่งเน้นประโยชน์ในการสร้างงานเพิ่มรายได้แก่ประชาชน โดยประชาชนไม่ได้บริโภควัตถุดิบหรือสินค้าที่นำเข้าอันจะทำให้รัฐเสียดุลการค้าอันจะเห็นได้จากเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดให้นำวัตถุดิบที่นำเข้ามาผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดไฟไหม้วัตถุดิบที่นำเข้าจำเลยก็ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าอยู่แล้ว เมื่อวัตถุดิบที่นำเข้าถูกไฟไหม้ทำลายไปแล้วก็ไม่สามารถนำไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้และไม่อาจนำวัตถุดิบมาบริโภคภายในประเทศได้เช่นกัน และยังเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ดังนั้น การที่จำเลยไม่สามารถนำวัตถุดิบที่นำเข้าไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วยเหตุไฟไหม้วัตถุดิบ จึงยังไม่เป็นเหตุให้ต้องถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่จำเลยได้รับตามบัตรส่งเสริมฯ ดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีอากร 4,743,898.89 บาท และเงินเพิ่มค่าอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินค่าอากร จำนวน 1,547,984 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า จำเลยประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนรองเท้า และนำเข้าแผ่นพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อผลิตสินค้า จำเลยได้รับสิทธิและประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เลขที่ 3026/ว./2542 ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 มาตรา 36 (1) ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นระยะเวลาหนึ่งปี นับแต่วันนำเข้าครั้งแรก และตามมาตรา 36 (2) ให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ผู้ได้รับการส่งเสริมนำเข้ามาเพื่อส่งกลับออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่งปี นับแต่วันนำเข้าครั้งแรก เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 ถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2544 จำเลยได้สั่งและนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกภายในหนึ่งปี รวม 20 ใบขนสินค้า จำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ตรวจสอบเอกสารแล้ว ได้ตรวจปล่อยวัตถุดิบตามใบขนสินค้าดังกล่าวไปจากอารักขาของโจทก์ที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 จำเลยมีหนังสือแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทราบว่า ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2544 ได้เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้โรงงานของจำเลยทำให้วัตถุดิบที่จำเลยนำเข้ามาตามใบขนสินค้าข้างต้นและได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตามมาตรา 36 (1) ถูกทำลายรวม 4 รายการ จึงขอยกเว้นอากรขาเข้า ตามหนังสือเลขที่ PL01/44 บัญชีปริมาณวัตถุดิบที่ถูกทำลาย รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและสรุปผลการตรวจของกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งเหตุไฟไหม้วัตถุดิบของจำเลยทั้ง 4 รายการ จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือมีส่วนร่วมในการกระทำหรือประมาทเลินเล่อ และเป็นเหตุสุดวิสัยให้จำเลยไม่สามารถที่จะนำวัตถุดิบที่ถูกทำลายจากไฟไหม้มาผลิตเป็นสินค้าเพื่อส่งออกได้ วันที่ 25 มิถุนายน 2545 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ประชุมคณะทำงานพิจารณาโครงการแล้วมีมติอนุมัติให้จำเลยตัดบัญชีวัตถุดิบสำหรับส่วนที่สูญเสียทั้ง 4 รายการ โดยไม่มีภาระภาษี ตามมติการประชุม และมีหนังสือลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2545 แจ้งมติดังกล่าวให้จำเลยทราบ ตามหนังสือ ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 คณะทำงานพิจาณาโครงการได้ประชุมทบทวนการอนุมัติให้จำเลยตัดบัญชีวัตถุดิบที่ถูกไฟไหม้ แล้วมีมติให้ยกเลิกมติเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2545 และมีมติให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์บางส่วนที่ให้ไว้แก่จำเลยโดยให้มีภาระภาษีสำหรับวัตถุดิบที่ถูกไฟไหม้ทั้ง 4 รายการตามสภาพ ณ วันนำเข้า ตามมติการประชุมและคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ พ. 79/2546 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ดังกล่าว ต่อมาวันที่ 29 เมษายน 2547 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีหนังสือถึงจำเลยแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยว่า เนื่องจากมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีที่ไม่ได้นำวัตถุดิบที่นำเข้ามาไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมเนื่องจากถูกเพลิงไหม้ ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ผู้ได้รับการส่งเสริมจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงให้จำเลยชำระภาษีอากรวัตถุดิบทั้ง 4 รายการตามหนังสือ 6 จากนั้นจำเลยนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ พ.79/2546 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว วันที่ 26 ตุลาคม 2547 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1320/2547 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ได้แจ้งจำนวนค่าภาษีที่ต้องชำระให้จำเลยทราบตามแบบแจ้งการประเมิน 10 ฉบับ รวมยอดค่าภาษี 2,782,822.37 บาท
มีปัญหาตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยก่อนว่า มติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในวันที่ 25 มิถุนายน 2545 อนุมัติให้จำเลยตัดบัญชีวัตถุดิบสำหรับส่วนที่สูญเสียจากไฟไหม้ทั้ง 4 รายการ โดยไม่มีภาระภาษีและได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว ตามมติและหนังสือ เป็นอันยุติและถึงที่สุดแล้วหรือไม่ เห็นว่า มติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ได้แจ้งให้จำเลยทราบดังกล่าว เป็นกรณีที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมาย ในการสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของจำเลย อันเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 5 และมีผลตั้งแต่ขณะที่จำเลยได้รับแจ้งมติเป็นต้นไปตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีมติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 ให้ยกเลิกมติเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2545 และเพิกถอนสิทธิและประโยชน์บางส่วนที่ให้ไว้แก่จำเลยโดยมีภาระภาษีสำหรับวัตถุดิบดังกล่าวอันเป็นการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเดิมย่อมทำให้สิ้นผลลงตามมาตรา 42 วรรคสองและมีคำสั่งทางปกครองใหม่มีผลใช้บังคับแทนคำสั่งเดิมต่อจำเลยตามมาตรา 42 วรรคหนึ่งข้อกล่าวอ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้จำเลยชำระค่าภาษีตามคำสั่งที่ พ.79/2546 เป็นยุติหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำสั่งจำหน่ายคดีตามคดีหมายเลขแดงที่ 1320/2547 ของศาลปกครองกลาง แล้วได้ความว่าเหตุที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้น เนื่องจากจำเลยผู้ฟ้องคดีไม่ได้จัดทำคำคัดค้านคำให้การยื่นต่อศาลและไม่ได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ให้ศาลพิจารณาต่อไปแต่ประการใด จึงถือว่าจำเลยผู้ฟ้องคดีไม่ดำเนินการตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามระเบียบดังกล่าว จึงเห็นได้ว่า ศาลปกครองกลางยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาของคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่จำเลยขอให้เพิกถอนว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่หรือมีผลเป็นประการใด ดังนั้น ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้จำเลยชำระค่าภาษีตามคำสั่งที่ พ.79/2546 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองประการต่อไปว่า คำสั่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ พ. 79/2546 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 ให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นตามมาตรา 36 (1) ที่จำเลยได้รับตามบัตรส่งเสริมการลงทุนบางส่วนเนื่องจากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดได้ และให้จำเลยชำระค่าภาษีชอบหรือไม่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ว่า ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 มาตรา 54 ให้อำนาจคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ได้แม้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมิได้จงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เมื่อวัตถุดิบที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนนำเข้ามาสูญหาย ถูกทำลาย หรือเกิดเหตุไฟไหม้เสียหาย ถือว่าจำเลยไม่ได้นำวัตถุดิบที่นำเข้าไปใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก อันเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้กำหนดไว้แล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีแก่โจทก์ทั้งสอง นั้น เห็นว่า จำเลยได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้สิทธิและประโยชน์แก่จำเลยโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาในราชอาณาจักร แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าจำเลยต้องนำวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่นำเข้ามาดังกล่าวไปใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หากมีการผิดเงื่อนไขดังกล่าว พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้ให้แก่ผู้ได้รับการส่งเสริมทั้งหมดหรือบางส่วนโดยจะกำหนดระยะเวลาไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้”และมาตรา 54 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า การที่ผู้ได้รับการส่งเสริมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นมิได้เป็นการกระทำโดยจงใจ จะสั่งให้สำนักงานเตือนเป็นหนังสือให้ผู้ได้รับการส่งเสริมแก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขภายในเวลาที่กำหนดก่อนก็ได้ แต่เมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นแล้วผู้ได้รับการส่งเสริมยังมิได้แก้ไขหรือปฏิบัติให้ถูกต้องโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คณะกรรมการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในกรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่า เหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมไม่สามารถนำวัตถุดิบที่นำเข้าและได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด เนื่องจากวัตถุดิบที่นำเข้าดังกล่าวถูกไฟไหม้ โดยจำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อหรือมีส่วนร่วมกระทำหรือประมาทเลินเล่อและยังเป็นเหตุสุดวิสัย จึงเห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยจงใจ และเหตุดังกล่าวก็เป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยจะบังคับได้ และการที่จำเลยได้รับการส่งเสริมให้ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบที่นำเข้าตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ดังกล่าวก็เนื่องจากรัฐต้องการส่งเสริมการลงทุน มุ่งเน้นประโยชน์ในการสร้างงานเพิ่มรายได้แก่ประชาชน โดยประชาชนไม่ได้บริโภควัตถุดิบหรือสินค้าที่นำเข้าอันจะทำให้รัฐเสียดุลการค้าแต่อย่างใดอันจะเห็นได้จากเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดให้นำวัตถุดิบที่นำเข้ามาผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดไฟไหม้วัตถุดิบที่จำเลยนำเข้าจำเลยก็ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าอยู่แล้ว เมื่อวัตถุดิบที่นำเข้าถูกไฟไหม้ทำลายไปแล้วก็ไม่สามารถนำไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้และก็ไม่อาจนำวัตถุดิบดังกล่าวมาบริโภคภายในประเทศได้เช่นกันและยังเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ ดังนั้น การที่จำเลยไม่สามารถนำวัตถุดิบที่นำเข้าไปผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนดไว้ด้วยเหตุไฟไหม้วัตถุดิบดังกล่าว จึงยังไม่เป็นเหตุเพียงพอให้ต้องถูกเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่จำเลยได้รับตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน คำสั่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ พ. 79/2546 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 ให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่จำเลยได้รับตามบัตรส่งเสริมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และให้จำเลยชำระอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงและไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ทั้งสองเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่าจำเลยไม่ต้องชำระเงินค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มอากรขาเข้านั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share