แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่เป็นส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนั้นเมื่อลูกจ้างของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นกระทรวงเจ้าสังกัดจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๔ เวลากลางวันจำเลยที่ ๙ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ตามกฎหมาย ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ ๕ ให้ขับรถยนต์กระบะบรรทุกเล็กคันหมายเลขทะเบียน ๑บ ๐๒๐๔ ไปรับอะไหล่ ณที่ว่าการอำเภอลานสัก จำเลยที่ ๙ ได้ขับรถยนต์กระบะบรรทุกเล็กคันดังกล่าวโดยมีจำเลยที่ ๖ ที่ ๗ ควบคุมดูแลออกจากโครงการก่อสร้าง ถนนทับเสลา ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ไปตามถนนสายหนองฉาง-อุ้มผาง บ่ายโฉมหน้าไปทางตลาดปากเหมือง จำเลยที่ ๙ ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้แล่นชนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน อ.น.๐๖๕๕๕ ซึ่งนายวรเทพ สิทธิธัญกิจผู้ตายขับขี่เลี้ยวเข้าไปในทางแยกเข้าอำเภอลานสักอย่างแรง รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวล้มลงกับพื้นถนน นายวรเทพผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา การที่จำเลยที่ ๙ ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเนื่องจากการละเมิดดังกล่าวคิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๙,๗๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งเก้าร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๙๙,๗๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๔ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ และที่ ๘ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๙ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ และไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งหรือทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๘ จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ ๙ ได้นำรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ไปใช้โดยพลการจำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุทัยธานี ไม่มีส่วนบังคับบัญชาจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๘ ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นราชการบริหารส่วนกลางจำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๘ มาปฏิบัติราชการชั่วคราวยังคงขึ้นตรงต่อสำนักงานการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและเหตุที่เกิดรถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ตายจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๘ จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับโจทก์ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกมาสูงเกินไป
จำเลยที่ ๙ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๙ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๒๗๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสามพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๔ อันเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคดีสำหรับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ และที่ ๘ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๙ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจำนวน ๒๐๓,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิด (วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๔) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๙ เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นกระทรวงและเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๙ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ หรือไม่ว่า แม้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยที่ ๒ จะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๒ ก็เป็นส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๖ ข้อ ๑๓ ที่แก้ไขใหม่แล้วดังนั้นเมื่อจำเลยที่ ๙ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ กระทรวงเจ้าสังกัดจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖
พิพากษายืน