แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสี่มิได้ร่วมกันฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดอย่างเจ้าหนี้ร่วม แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้นแม้จะอาศัยมูลละเมิดเดียวกัน คดีสำหรับโจทก์คนใดจะอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ตามที่โจทก์คนนั้น ๆ เรียกร้อง เมื่อโจทก์ที่ 4 เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน 9,000 บาท คดีสำหรับโจทก์ที่ 4 จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ดังนั้น แม้จำเลยที่ 4 จะอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 4สูงไป และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 4 มีสิทธิฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 4 สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่นซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบอันมีลักษณะเป็นประกันภัยค้ำจุนนั้น มิได้เป็นสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยกับผู้เอาประกันภัยตกลงกันว่าจะให้บุคคลภายนอกได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยควรจะได้รับ ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่เคยแสดงเจตนาแก่ผู้รับประกันภัยว่าจะเอาประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยนั้นก็มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 วรรคสอง กรณีจะปรับด้วยมาตรา 374 ไม่ได้ กรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.14 มีข้อความว่า “ข้อสัญญาพิเศษภายใต้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในตาราง บริษัทจะไม่ยกเอาความไม่สมบูรณ์แห่งกรมธรรม์หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือข้อ 2.13 หรือเงื่อนไขทั่วไป เว้นแต่ข้อ 1.2เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามข้อ 2.1(ความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะ) หรือข้อ 2.2(ความรับผิดต่อผู้โดยสาร)” ดังนั้น จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจะเอาเงื่อนไขทั่วไปข้อ 1.8 ที่ว่า “ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่นำหลักฐานมาแสดงต่อบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ขับรถยนต์ในขณะเกิดอุบัติเหตุเคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์” มาต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกเล็กหมายเลขทะเบียน น-5192 อุบลราชธานี ขณะเกิดอุบัติเหตุมีโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ขับรถ และโจทก์ที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้นั่งไปกับรถส่วนจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-0458กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถและนำรถเข้าร่วมประกอบกิจการกับจำเลยที่ 3 และมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัรถคันดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2525 รถยนต์บรรทุกเล็กคันหมายเลขทะเบียน น-5192 อุบลราชธานี ได้ชนกับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0458 กรุงเทพมหานคร โดยรถยนต์โดยสารเป็นฝ่ายประมาท โจทก์ที่ 1 เสียหาย 138,000 บาท โจทก์ที่ 2 เสียหาย61,000 บาท โจทก์ที่ 3 เสียหาย 61,000 บาท และโจทก์ที่ 4เสียหาย 9,000 บาท ขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า เหตุคดีนี้เกิดเพราะโจทก์ที่ 2 ขับรถประมาท โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยติดต่อเรียกร้องจะถือเอาประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้เอาประกันภัยรายนี้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายไม่มากดังฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใช้เงิ120,000 บาท 30,000 บาท 10,000 บาท และ 5,000 บาทแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ถอนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า…ฯลฯ…อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว ที่จำเลยที่ 4ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่เคยแสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 4 ว่า จะเอาประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 4 รับผิดนั้นเห็นว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ทั้งสี่นำมาเป็นข้ออ้างให้จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ เป็นสัญญาประกันภัยซึ่จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่นซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ อันมีลักษณะเป็นประกันภัยค้ำจุมิได้เป็นสัญญาประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 4 กับผู้เอาประกันภัยตกลงกันว่าจะให้บุคคลภายนอกได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยควรจะได้รับ โจทก์ทั้งสี่ฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคสอง กรณีจะปรับด้วยมาตรา 374 ไม่ได้ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน…ฯลฯ…และที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ผู้เอาประกันภัยปฏิบัติผิดเงื่อนไขทั่วไปตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.8 ที่มีข้อความว่า”ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่นำหลักฐานมาแสดงต่อบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ขับรถยนต์ในขณะเกิดอุบัติเหตุเคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์”จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสี่นั้น ปรากฏว่ากรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.14 มีข้อความว่า”ข้อสัญญาพิเศษ ภายใต้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในตาราง บริษัทจะไม่ยกเอาความไม่สมบูรณ์แห่งกรมธรรม์หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือข้อ 2.13 หรือเงื่อนไขทั่วไป เว้นแต่ข้อ 1.2 เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามข้อ 2.1 (ความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะ)หรือข้อ 2.2 (ความรับผิดต่อผู้โดยสาร)” ดังนั้น จำเลยที่ 4 จะเอาเงื่อนไขทั่วไปข้อ 1.8 มาต่อสู้โจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นบุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยปฏิบัติผิดเงื่อนไขทั่วไปข้อ 1.8 ดังที่จำเลยที่ 4 อ้างหรือไม่ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน…ฯลฯ…ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 4 ไม่มีหลักฐานว่าได้เสียค่ารักษาพยาบาลมาแสดงและค่าขาดรายได้จากการทำงานก็เบิกความลอย ๆ โจทก์ที่ 4 จึงไม่ควรได้รับค่าสินไหมทดแทนนั้นเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่มิได้ร่วมกันเรียกร้องให้จำเลยรับผิดอย่างเจ้าหนี้ร่วม แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้น แม้จะอาศัยมูลละเมิดเดียวกัน คดีสำหรับโจทก์คนใดจะอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องแยกพิจารณาจำนวนทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่โจทก์คนนั้น ๆ เรียกร้อง ปรากฏว่าโจทก์ที่ 4 เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน 9,000 บาท คดีสำหรับโจทก์ที่ 4จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4ที่อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 4 สูงไปก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 4 มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาข้อนี้
พิพากษายืน.