แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่า บริษัทค. เป็นหนี้โจทก์ 1,811,515.90เหรียญฮ่องกงเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2526 บริษัทค. บริษัทบ.และจำเลย ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกัน โจทก์จำเลยและ บริษัทค. ตกลงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แทนบริษัทค.เป็นเงิน 1,700,000เหรียญฮ่องกง หนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นการบรรยายเกี่ยวกับสภาพแห่งข้อหาโดยละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้ว หาจำต้องบรรยายว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เนื่องมาจากการแปลงหนี้ใหม่หรือการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ ส่วนที่ระบุชื่อโจทก์ในฟ้องว่า “นายสุทินฟุ้งสาธิต ในฐานะเจ้าของและผู้จัดการผู้มีอำนาจรามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานี และในฐานะส่วนตัว” นั้น โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อมาว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจการค้าใช้ชื่อทางการค้าว่ารามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานี โดยโจทก์เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวและเป็นผู้จัดการมีอำนาจเต็มอ่านโดยตลอดแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของกิจการดังกล่าวซึ่งมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การประกอบธุรกิจทางการค้า ผู้ประกอบธุรกิจจะตั้งชื่อร้านหรือกิจการของตนได้โดยไม่จำต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล โจทก์เป็นเจ้าของกิจการจึงมีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัว หนังสือสัญญาระบุว่า จำเลยตกลงจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ภายใน 90 วันนับจากวันที่ทำสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทค. และบริษัทบ. กับจำเลย เมื่อ บริษัทค. บริษัทบ. และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกันแล้วตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526ข้อที่จำเลยอ้างว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะไม่สามารถโอนหุ้นกันได้เป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญาหาอาจนำมาอ้างกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไม่ ข้อตกลงจึงมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526การนับระยะเวลา 90 วัน จึงเริ่มนับแต่นั้นเป็นต้นไป และครบกำหนดชำระแล้ว จำเลยเป็นคนไทยจะชำระหนี้เป็นเงินเหรียญฮ่องกง ปกติจำเลยก็ต้องไปซื้อเงินเหรียญฮ่องกงจากธนาคาร อัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ต้องเป็นไปตามอัตราขายของธนาคาร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจการค้าอยู่ที่ฮ่องกงเครือจักรภพอังกฤษ ใช้ชื่อทางการค้าว่า รามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานี โจทก์เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวและเป็นผู้จัดการผู้มีอำนาจเต็ม รับนักท่องเที่ยวจากฮ่องกงมาเที่ยวในประเทศไทยโดยจัดอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ที่พัก รถรับส่ง อาหารและบริการต่าง ๆ ระหว่างปี 2525 ถึงวันที่ 9 เมษายน 2526 บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด ได้จัดส่งนักท่องเที่ยวจากฮ่องกงมาเที่ยวประเทศไทยและได้ว่าจ้างให้โจทก์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ คิดเป็นเงินค่าบริการ1,811,515.90 เหรียญฮ่องกง ต่อมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2526โจทก์ลดค่าบริการให้คงเหลือ 1,700,000 เหรียญฮ่องกง ในการชำระเงินดังกล่าว บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันในวันที่ 21 เมษายน 2526 ให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ภายในเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด บริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัด และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกัน และโจทก์ได้ตกลงปลดหนี้ให้บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ทั้งหมดเมื่อจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามกำหนดแล้ว เมื่อหนี้ถึงกำหนด จำเลยไม่ชำระจำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2526ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดชำระเงิน เงิน 1 เหรียญฮ่องกงเท่ากับเงินไทย3.33 บาท รวมเป็นเงินไทย 5,661,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 176,906 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 5,837,906 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้จดทะเบียนการค้าหรือจดทะเบียนฐานะนิติบุคคลไว้ที่ฮ่องกง ระหว่างปี 2525 ถึงวันที่ 9 เมษายน 2526 บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ไม่ได้ส่งนักท่องเที่ยวจากฮ่องกงมาเที่ยวประเทศไทย จึงไม่ได้ติดค้างเงินโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และ 3 เป็นเอกสารที่โจทก์ได้สมคบกับบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด จัดทำขึ้น และจำเลยยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด และบริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัด หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยจึงยังไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องแปลงหนี้ โดยบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย ไม่เป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง จำเลยไม่ต้องรับผิด การคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเหรียญฮ่องกงเป็นเงินไทยไม่ถูกต้อง คำฟ้องเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า สัญญาตามเอกสารหมาย จ.13เป็นเพียงข้อตกลงเบื้องต้นซึ่งจะต้องทำสัญญาซื้อขายกันอีกฉบับหนึ่งดังนั้น เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยกับบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ยังไม่ได้กระทำกันระยะเวลา 90 วัน จึงยังไม่เริ่มนับหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระจึงยังไม่ถึงกำหนด พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเอกสารหมาย จ.13 มีสาระสำคัญครบถ้วนฟังได้ว่า เป็นสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด กับจำเลยแล้ว พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,661,000 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดถึงวันฟ้อง(11 มกราคม 2527) แต่ต้องไม่เกิน 176,906 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์แล้วเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ถือหุ้นบริษัทเวิลด์อินเวสเมนต์จำกัด จำนวน 80,000 หุ้นเมื่อปี 2526 บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด เป็นหนี้โจทก์ 1,811,515.90 เหรียญฮ่องกง วันที่ 21 เมษายน2526 จำเลยได้ทำสัญญาซื้อหุ้นกับบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด ปรากฏตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.13 และจำเลยได้ทำสัญญาตกลงชำระหนี้จำนวน 1,700,000 เหรียญฮ่องกง ให้แก่โจทก์แทนบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.11โจทก์จึงได้ทำหนังสือปลดหนี้ให้แก่บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.12 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่หนี้ตามฟ้องถึงกำหนดชำระเมื่อใดและอัตราแลกเปลี่ยนเงินกำหนดเท่าใด
ในปัญหาที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่าบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด เป็นหนี้โจทก์1,811,515.90 เหรียญฮ่องกง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2526บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด บริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัด และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกันโจทก์จำเลยและบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด ตกลงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แทนบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด เป็นเงิน1,700,000 เหรียญฮ่องกง ปรากฏตามหนังสือท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 2เมื่อหนี้ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ดังกล่าวเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสภาพแห่งข้อหาแล้วคือ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงในหนังสือท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 2 และโจทก์ยังได้บรรยายถึงเหตุที่จำเลยตกลงชำระหนี้แก่โจทก์ไว้โดยละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้ว โจทก์หาจำต้องบรรยายว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไว้โดยละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์เนื่องมาจากการแปลงหนี้ใหม่หรือการโอนสิทธิเรียกร้องดังที่จำเลยฎีกาไม่คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่โจทก์ระบุชื่อโจทก์ในฟ้องว่า “นายสุทินฟุ้งสาธิต ในฐานะเจ้าของและผู้จัดการผู้มีอำนาจรามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานีและในฐานะส่วนตัว” นั้น โจทก์ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อมาว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวและกิจการค้า ใช้ชื่อทางการค้าว่า รามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานีโดยโจทก์เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว และเป็นผู้จัดการผู้มีอำนาจเต็ม ซึ่งอ่านโดยตลอดแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องในฐานะเป็นเจ้าของกิจการรามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานี ซึ่งมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุมเช่นเดียวกัน
ในปัญหาที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์เบิกความว่าโจทก์ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ใช้ชื่อในทางการค้าว่า รามาทัวร์แอนด์เทรดดิ้งคอมปานีและใช้ชื่อย่อว่า รามาทัวร์ เดิมมีหุ้นส่วน 2คน ต่อมาหุ้นส่วนคนหนึ่งได้ออกไปตั้งแต่ปี 2522 โจทก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนรามาทัวร์แต่ผู้เดียว โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เห็นว่า การประกอบธุรกิจทางการค้าผู้ประกอบธุรกิจจะตั้งชื่อร้านหรือกิจการของตนได้โดยไม่จำต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และโจทก์มีนายเสนีย์ ฟุ้งสาธิตเบิกความสนับสนุนว่าโจทก์เป็นเจ้าของรามาทัวร์และไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล นายเสนีย์เป็นผู้จัดการทั่วไปของรามาทัวร์ ย่อมจะทราบถึงการดำเนินงานของรามาทัวร์ดีประกอบกับจำเลยไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรามาทัวร์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรามาทัวร์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวได้
ในปัญหาที่ว่า หนี้ตามฟ้องถึงกำหนดชำระเมื่อใด ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.11 ระบุมีใจความว่า จำเลยตกลงและรับรองที่จะจ่ายเงินจำนวน 1,700,000 เหรียญฮ่องกง ให้แก่โจทก์ภายในเวลา 90วัน นับจากวันที่ทำสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด และบริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัด กับจำเลยเห็นว่าข้อความกำหนดวันชำระเงินดังกล่าวนั้นเกี่ยวโยงไปถึงสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด บริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัด และจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับแรกว่า บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิสจำกัด บริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัด และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกันตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.13 แล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526 จำเลยฎีกาว่า สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะบ้าง ไม่สามารถโอนหุ้นกันได้บ้างนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องระหว่างคู่สัญญา หาอาจนำมาอ้างกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไม่ ข้อตกลงตามหนังสือเอกสารหมาย จ.11 จึงมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526 ซึ่งเป็นวันที่บริษัทแคเรี่ยนทราแวลเซอร์วิส จำกัด บริษัทบาร์นสเตเบิลอินเวสต์เมนต์ จำกัดและจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายหุ้นกันและได้ลงนามเรียบร้อยแล้วปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 การนับระยะเวลา 90 วันตามเอกสารหมาย จ.11 จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2526และครบกำหนดชำระแล้ว
ในปัญหาที่ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินกำหนดเท่าใดนั้น โจทก์เบิกความอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญฮ่องกงเท่ากับ 3.33 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.14 แต่เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าอัตราดังกล่าวเป็นอัตราที่ธนาคารขาย ส่วนอัตราที่ธนาคารซื้อ 1เหรียญฮ่องกงเท่ากับ 3.17 บาท เห็นว่าตามหนังสือเอกสารหมายจ.11 กำหนดชำระเงินเป็นเหรียญฮ่องกง หากจำเลยชำระเป็นเงินเหรียญฮ่องกง โจทก์ก็จะนำไปขายให้ธนาคารได้เพียง 3.17 บาทต่อ 1 เหรียญฮ่องกงตามที่จำเลยต่อสู้ จำเลยเป็นคนไทยจะชำระหนี้เป็นเงินเหรียญฮ่องกง ปกติจำเลยก็ต้องไปซื้อเงินเหรียญฮ่องกงจากธนาคาร อัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ต้องเป็นไปตามอัตราขายของธนาคาร คือ 1 เหรียญฮ่องกงเท่ากับ 3.33 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.