คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4189/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์จะต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่มีเหตุอันสมควรไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนนั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 180 เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทอันเป็นเวลาล่วงเลยมาถึงยี่สิบปี วิญญูชนทั่วไปย่อมทราบดีว่าราคาที่ดินต้องเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ซึ่งโจทก์อาจกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ตามราคาในขณะยื่นฟ้องได้อยู่แล้ว ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า ขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าราคาที่ดินสูงขึ้นกว่าวันที่โจทก์ซื้อที่ดินก็ดี หรือโจทก์เพิ่งคิดได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นก็ดี ล้วนเป็นกรณีที่ไม่อาจถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้ก่อนวันสืบพยาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๑ โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) จากนายน้อย พองพรหม บิดาจำเลย ในราคา ๓๐,๐๐๐ บาท นายน้อยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) แก่โจทก์แล้ว โจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยให้นางพูลทรัพย์ แสนเสน เช่าปลูกบ้าน แต่ยังมิได้โอนทางทะเบียน ต่อมานายน้อยถึงแก่ความตาย โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยในฐานะบุตรนายน้อยจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปโอนทางทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า นายน้อย พองพรหม ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่นายน้อยขายที่ดินพิพาทให้นางพูลทรัพย์ นายน้อยถึงแก่ความตายก่อนจดทะเบียนโอนให้นางพูลทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความอ้างว่า ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โดยซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๖๘๒/๒๕๓๒ ระหว่างนายเฮียเฮียง แซ่เตีย โจทก์ นางพูลทรัพย์ แสนเสน จำเลย แต่ยังมิได้โอนทางทะเบียนเพราะหาเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวไม่พบ ผู้ร้องสอดได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว นายน้อยไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้นางโจทก์และโจทก์ไม่ได้ให้นางพูลทรัพย์เช่าที่ดินพิพาท แต่นายน้อยได้ขายที่ดินให้นางพูลทรัพย์ นายน้อยถึงแก่ความตายก่อนจะจดทะเบียนโอนแก่นางพูลทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้คำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์สินที่มีการขายทอดตลาดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๖๘๒/๒๕๓๒ ของศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดเพิ่งเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๒๔/๒๕๔๑ ของศาลชั้นต้น ในข้อหาบุกรุกแล้ว ผู้ร้องสอดไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอด และคำร้องสอดเคลือบคลุม ขอให้ยกคำร้องสอด
หลังจากสืบพยานโจทก์พยานจำเลยและพยานผู้ร้องสอดเสร็จ ก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเกี่ยวกับจำนวนทุนทรัพย์ว่า ราคาที่ดินพิพาทจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นราคาที่ดินพิพาทที่ซื้อขายกันในปี ๒๕๒๑ แต่ขณะยื่นฟ้องราคาที่ดินพิพาทเพิ่มขึ้นเป็นเงิน ๘๑,๐๐๐ บาท เป็นข้อผิดหลงเล็กน้อยและโจทก์เพิ่งทราบภายหลัง ขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์จากจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท เป็น ๘๑,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ศาลชั้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ มีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์จึงต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่มีเหตุอันสมควรไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเมื่อปี ๒๕๒๑ ในราคา ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อปี ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยมาถึงยี่สิบปี วิญญูชนทั่วไปย่อมทราบดีว่าราคาที่ดินต้องเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ซึ่งโจทก์อาจกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ตามราคาในขณะยื่นฟ้องได้อยู่แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า ขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าราคาที่ดินสูงขึ้นกว่าวันที่โจทก์ซื้อที่ดินก็ดี หรือโจทก์เพิ่งคิดได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นก็ดี ล้วนเป็นกรณีที่ไม่อาจถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้ก่อนวันสืบพยาน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

นางสาวอังคณา สินเกษม ย่อ
นางสุรีพร อัชฌานนท์ ผู้ตรวจร่างคำพิพากษา
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ผู้ตรวจย่อข้อกฎหมาย
นายชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

Share