คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4183/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หลังจากจำเลยตกเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยไปทำสัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยให้แก่ พ. ในภายหลังอีก เนื่องจากจำเลยและสามีจำเลยถูกธนาคารฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้เงินกู้และธนาคารได้ขอบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยนำไปจำนองไว้เป็นประกันการกู้ยืมด้วยแม้ธนาคารจะฟ้องคดีหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วก็ตาม แต่หนี้ที่จำเลยมีอยู่ต่อธนาคารเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนและเป็นหนี้ที่มิได้เกิดจากการสมยอมระหว่างจำเลยกับธนาคาร ดังนั้น การที่จำเลยตกลงยินยอมให้ พ. เป็นผู้ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินต่อธนาคารแทนจำเลย และรับโอนที่ดินไปโดยมีข้อตกลงให้จำเลยซื้อที่ดินคืนกลับไปได้นั้นจึงเป็นกรณีที่จำเลยต้องกระทำเพื่อมิให้ธนาคารผู้รับจำนองบังคับจำนองแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยโอนขายทรัพย์สินของตนไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่28 มิถุนายน 2538 จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลแพ่งออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2538 แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 182413 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสาวพัชรา ธนะสัมบัญ ไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2538 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากจำเลยตกเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว เหตุที่จำเลยไปทำสัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยให้แก่นางสาวพัชราในภายหลังอีกก็เนื่องจากในวันที่ 24 สิงหาคม 2538 จำเลยและนายเหมือน โปมิ่ง สามีจำเลยถูกธนาคารทหารไทย จำกัด ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้เงินกู้จำนวน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและธนาคารได้ขอบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยนำไปจำนองไว้เป็นประกันการกู้ยืมด้วย แม้ธนาคารทหารไทย จำกัด จะได้ฟ้องคดีหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วก็ตามแต่หนี้ที่จำเลยมีอยู่ต่อธนาคารเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 และเชื่อได้ว่าเป็นหนี้ที่มิได้เกิดจากการสมยอมระหว่างจำเลยกับธนาคาร ดังนั้น การที่จำเลยตกลงยินยอมให้นางสาวพัชราเป็นผู้ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินต่อธนาคารแทนจำเลยและรับโอนที่ดินไปโดยมีข้อตกลงให้จำเลยซื้อที่ดินคืนกลับไปได้ โดยนางสาวพัชราเบิกความว่า ต้องชำระเงินต้นกับดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด รวมเป็นเงินประมาณ 600,000 บาท การที่จำเลยทำสัญญาโอนขายที่ดินให้แก่นางสาวพัชราดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยต้องกระทำเพื่อมิให้ธนาคารทหารไทยเจ้าหนี้ผู้รับจำนองบังคับจำนองแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยโอนขายทรัพย์สินของตนไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทกซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ตามฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share