แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลรัษฎากร มาตรา 19 บัญญัติไว้แต่เพียงว่า หากเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน โดยไม่จำกัดว่าเหตุอันควรเชื่อดังกล่าวจะเกิดจากเอกสารของผู้ยื่นรายการนั้นเองหรือของผู้อื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและภาษีนำจับอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน๒,๔๘๐,๔๖๘.๗๐ บาท โดยอ้างว่าโจทก์ไม่นำรายได้ลงบัญชีและนำรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา ๖๕ ตรี(๑๘) ประมวลรัษฎากร มาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ และที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน ๑,๘๐๙,๓๗๐ บาท โดยอ้างว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ลงบัญชีซื้อสินค้าและวัตถุดิบน้อยกว่าที่เป็นจริง ซึ่งคำนวณตามหลักวิชาและทฤษฎีบัญชีแล้วโจทก์มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ทั้งโจทก์นำค่าพาหนะค่ารับรอง ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ซึ่งไม่มีใบสำคัญคู่จ่าย ซึ่งเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา ๖๕ ตรีมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิด้วย โจทก์จึงต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลดังที่จำเลยที่ ๑ประเมิน นอกจากนี้โจทก์มีรายรับจากการขายสินค้าแต่ไม่ได้ลงบัญชี และโจทก์แสดงรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าขาดไป จำเลยที่ ๑ จึงได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าจากรายรับที่แท้จริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยที่ ๑ นำเอาเอกสารหมาย ล.๑๑ และหมาย ล.๑๒ มาใช้เป็นหลักฐานประเมินเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นเอกสารของบริษัทธีรชัยสตีลคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากโจทก์ ไม่เกี่ยวกับโจทก์ และจำเลยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเอกสารดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์อย่างใด ข้อนี้ได้ความว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องที่นายประพนธ์ลิ้มธรรมมหิศร เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ ๑ ได้ตรวจพบจากการตรวจสอบภาษีของบริษัทธีรชัยสตีลคอร์ปอเรชั่น จำกัด ทำให้พบว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไว้ไม่ถูกต้องเจ้าพนักงานประเมินก็ย่อมมีอำนาจหมายเรียกโจทก์มาตรวจสอบไต่สวนได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๑๙ บทกฎหมายมาตรานี้บัญญัติไว้แต่เพียงว่า หากเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน จะเห็นได้ว่ากฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินเมื่อมีเหตุควรเชื่อ แม้เหตุควรเชื่อดังกล่าวจะเกิดจากเอกสารซึ่งไม่ใช่ของโจทก์เจ้าพนักงานประเมินก็มีสิทธิจะทำได้ กฎหมายหาได้จำกัดอยู่เฉพาะจากเอกสารของโจทก์เท่านั้นไม่ส่วนในการเรียกตรวจสอบไต่สวนนั้น โจทก์ย่อมสามารถแสดงหลักฐานให้เจ้าพนักงานประเมินเชื่อได้ว่าแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีของโจทก์ถูกต้องแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์มีสิทธิจะทำได้ และก็ได้ความจากนายประพนธ์พยานโจทก์ว่า โจทก์ได้ให้นายขวัญชัย ไชยธีระพันธ์ มาชี้แจงต่อเจ้าพนักงานประเมินแล้ว แต่ไม่อาจแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินได้ เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ประเมินตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๒๐ ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าเจ้าพนักงาน-ประเมินนำเอกสารของนิติบุคคลอื่นมาประเมินภาษีเอากับโจทก์ และไม่ใช่เรื่องที่จำเลยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเอกสารดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์จริงหรือไม่ดังโจทก์อุทธรณ์
พิพากษายืน.