คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4174/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์และสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยให้อยู่ต่อไปได้อีก 2 ปี หากครบกำหนดฝ่ายใดไม่รื้อถอนให้อีกฝ่ายรื้อถอนออกไปได้ แล้วได้มีการตกลงกันใหม่ในศาลว่าโจทก์จะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ก่อนจำเลยจึงจะรื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยข้อตกลงดังกล่าวแม้จะไม่มีอยู่ในคำฟ้อง แต่ก็มาจากเหตุที่โจทก์ได้ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินเกี่ยวเนื่องกับประเด็นตามคำฟ้อง ถือได้ว่าเป็นประเด็นแห่งคดี เมื่อศาลพิพากษาคดีตามยอม และคดีถึงที่สุดไปแล้ว หากจำเลยไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป โจทก์ย่อมจะขอบังคับคดีได้ในคดีเดิม โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอีกไม่ได้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้แบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 165/2519 ของศาลชั้นต้นแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลว่า จำเลยทั้งสามตกลงแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ สิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสามที่ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ที่ปลูกอยู่ในที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยทั้งสามให้คงอยู่ได้อีก 2 ปี หากครบกำหนดแล้วฝ่ายใดไม่รื้อถอนให้อีกฝ่ายรื้อถอนได้ แต่ต่อมาได้ตกลงกันใหม่ให้โจทก์รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปก่อน โจทก์ไม่สามารถรื้อสิ่งปลูกสร้างของตนออกจากที่ดินของจำเลยทั้งสามเพราะมีผู้อื่นอาศัยอยู่ โจทก์ฟ้องขับไล่แล้วศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสามไม่ยินยอมอ้างว่าโจทก์ไม่อาจรื้อสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินของโจทก์และร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่หมายเลขแดงที่ 165/2519 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่โจทก์ฎีกาว่าฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องขอแบ่งแยกที่ดิน แต่คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายเป็นคนละประเด็นกันนั้น เห็นว่า แม้คดีก่อนจะเป็นเรื่องขอแบ่งแยกที่ดินกันก็ตาม แต่โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในข้อ 3 เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆของจำเลยทั้งสามซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์ว่า ให้สิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสามเหล่านั้นอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์ต่อไปได้อีกภายใน 2 ปี หากครบกำหนดนั้นแล้ว ฝ่ายจำเลยทั้งสามไม่รื้อถอนโจทก์มีอำนาจรื้อถอนออกไปได้โดยไม่เป็นความผิดใด ๆและฝ่ายจำเลยทั้งสามจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และต่อมาได้มีการตกลงกันใหม่ในศาลว่าโจทก์จะต้องรื้อห้องแถวไม้ของโจทก์ก่อนแล้วจำเลยจึงจะรื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวแม้จะไม่มีอยู่ในคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 165/2519 แต่ก็มาจากเหตุที่โจทก์ได้ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินกัน จึงเป็นข้อที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นตามคำฟ้อง ถือได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นประเด็นแห่งคดีแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความและคดีถึงที่สุดไปแล้ว หากปรากฏว่าจำเลยทั้งสามไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินส่วนของโจทก์ตามข้อตกลงโจทก์ก็ย่อมจะขอบังคับคดีได้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 165/2519 นั้นโจทก์จะนำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอีกไม่ได้เพราะเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
พิพากษายืน.

Share