คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4159/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอันเป็นการโต้แย้ง กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่ พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 ซึ่งห้ามโอนมีกำหนดเวลาก็เฉพาะกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ส่วนสิทธิครอบครองและสิทธิทำกินในที่ดินโอนกันได้นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่ มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ได้ทำประโยชน์ในที่ดินและปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบกรมประชาสงเคราะห์ได้ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ตามความในพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 จำเลยได้เช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์มีกำหนด 6 ปีติดต่อกันในราคา 25,000 บาท เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์สามารถนำที่ดินดังกล่าวให้ผู้อื่นเช่าเดือนละ 500 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและห้ามเกี่ยวข้องกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์โจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 300 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะออก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 136 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยซื้อจากโจทก์อันเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ซึ่งจำนวนทุนทรัพย์คดีนี้เท่ากับ 25,760 บาทดังนั้น คดีนี้จึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 บัญญัติให้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วไม่ยอมออกไปจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เช่า แต่โจทก์ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยแล้วดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าสัญญาซื้อขายบังคับไม่ได้ตามกฎหมาย จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142, 183 นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องและกล่าวอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของจำเลยเพราะโจทก์ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยแล้ว ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าที่ดินเป็นของโจทก์หรือของจำเลย เมื่อสัญญาซื้อขายบังคับไม่ได้ตามกฎหมายก็ต้องฟังว่าที่ดินเป็นของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในที่ดินต่อไป จึงต้องพิพากษาขับไล่จำเลยมิใช่พิพากษาไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา
ฎีกาข้อต่อมาจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อฟังว่าสัญญาซื้อขายบังคับไม่ได้ตามกฎหมาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดิน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ฎีกาข้อต่อมาจำเลยว่า พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 ซึ่งห้ามโอนมีกำหนดเวลาก็เฉพาะกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนสิทธิครอบครองและสิทธิทำกินในที่ดินโอนกันได้นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share