แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินส.ค.1ที่โจทก์ซื้อมาจากล. เป็นคนละส่วนกับที่ดินที่กระทรวงการคลังซื้อจากข.เพื่อใช้ในราชการกรมตำรวจเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินจากล.แล้วโจทก์ได้เข้ายึดถือครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยเจตนายึดถือเพื่อตนโจทก์จึงได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1367
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินราชพัสดุซึ่งจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์อยู่ จำเลยที่ 3 รับราชการในตำแหน่งผู้กับการ 7กองบังคับการฝึกพิเศษ ตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 4 รับราชการในตำแหน่งราชพัสดุจังหวัดเพชรบุรี มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินราชพัสดุในเขตจังหวัดเพชรบุรี จำเลยที่ 5 เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงมหาดไทยและเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินราชพัสดุซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลบางเก่า อำเภอชำอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อประโยชน์ในราชการของจำเลยที่ 5 โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่ดินมือเปล่า ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลบางเก่าอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 21 ไร่ 1 งาน 84 ตารางเมื่อปี 2528 โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศตะวันตกรุกล้ำที่ดินราชพัสดุของจำเลยที่ 2 จึงไม่ยอมรับรองแนวเขตที่ดินให้โจทก์ทั้งสอง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2และจำเลยที่ 3 ในฐานะส่วนตัวและเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 5ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีทำการรังวัดเพื่อออกหนังสือสำหรับที่หลวงเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศตะวันตกเป็นเนื้อที่ 6 ไร่เศษ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลบางเก่าอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 21 ไร่ 1 งาน 84 ตารางวาห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเกี่ยวข้องและให้จำเลยทั้งห้ารับรองแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตกตามแนวซึ่งโจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองเพื่อโจทก์ทั้งสองจะได้ดำเนินการออกโฉนดในที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินต่อไป ถ้าจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า
จำเลยทั้งห้าให้การว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน36 ตารางวา จำเลยที่ 2 และที่ 5 ซื้อมาจากนายขำ บางม่วงงาม ตั้งแต่ปี 2599 และเมื่อซื้อมาแล้วได้ใช้เพื่อประโยชน์ในราชการของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นหน่วยราชการแผ่นดินที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจากนางลาภ พรึ่งประเดชและนายหอม เดชอุดมในปี 2526 นั้น ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเมื่อนางลาภและนายหอม ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทการซื้อขายระหว่างโจทก์ทั้งสองและนางลาภกับนายหอมจึงไม่มีผลให้โจทก์ทั้งสองได้สิทธิในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 6 ไร่42 ตารางวา ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.11 เป็นของโจทก์ทั้งสองห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเกี่ยวข้อง สำหรับคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 6 ไร่42 ตารางวาตามแผนที่เอกสารหมาย จ.11 เป็นของโจทก์ทั้งสองห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเกี่ยวข้อง สำหรับคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อปี 2499จำเลยที่ 2 ได้ซื้อที่ดินจากผู้มีสิทธิในที่ดินในท้องที่ตำบลบางเก่า อำเภอชำอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อใช้ในราชการของจำเลยที่ 5 จำนวน 28 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ที่ดินดังกล่าวมี ส.ค.1 จำนวน 27 แปลง และมีโฉนดที่ดิน 1 แปลงคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินได้มอบให้นายอำเภอชะอำนำ ส.ค.1ของที่ดินที่ซื้อจากผู้มีสิทธิในที่ดินแต่ละรายไปดำเนินการออกทะเบียนที่ดินตำบลหรือแบบหมายเลข 3 และจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 นายขำ บางม่วงงามเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินรายหนึ่งที่ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน ตามเอกสารหมายจ.25 และ ล.11 และในปี 2526 โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ร่วมกันซื้อที่ดินในท้องที่ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรี จากนางลาภ พรึ่งประเดช ภริยานายหย่อนซึ่งเป็นบุตรของนางขำเนื้อที่ 16 ไร่ และซื้อจากนายหอม เดชอุดมเนื้อที่ 6 ไร่ 37 ตารางวา โดยที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ติดกันที่ดินแปลง 16 ไร่ อยู่ด้านทิศเหนือของที่ดินแปลง 6 ไร่ 37 ตารางวาตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 หลังจากซื้อที่ดินดังกล่าวแล้วโจทก์ที่ 2 สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์นิคมชะอำในปี 2527 ต่อมาปี2528 โจทก์ที่ 2 ขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยผ่านสหรณ์นิคมชะอำเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 2 โดยก่อนนอกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 2ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีมีหนังสือสอบถามไปยังนายอำเภอชะอำว่าที่ดินที่โจทก์ที่ 2 ขอออกโฉนดที่ดินเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ นายอำเภอชำอำรายงานว่า ไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์และโจทก์ที่ 2 มิได้นำรังวัดทับที่ดินของบุคคลอื่น แต่ควรสอบถามราชพัสดุจังหวัดเพชรบุรีและจำเลยที่ 5 ว่า ที่ดินที่โจทก์ที่ 2 นำรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินทับทีดินของจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ติดกันหรือไม่ และปี 2530 จำเลยที่ 5 ให้จัดตั้งกองกำกับการ 7กองบังคับการฝึกพิเศษ ตำรวจตะเวนชายแดนในที่ดินที่จำเลยที่ 2ซื้อมาดังกล่าว จึงมีการตรวจสอบที่ตั้งและอาณาเขตที่ดิน ขณะเดียวกันราชพัสดุจังหวัดเพชรบุรีได้ขอรังวัดที่ดินดังกล่าวเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงสำหรับที่ดินที่จำเลยที่ 2 ซื้อมาดังกล่าวด้วยโจทก์ทั้งสองคัดค้านว่ารังวัดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองซื้อมาจากนางลาภและนายหอมซึ่งส่วนที่รุกล้ำคือที่ดินพิพาทเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีประกาศแจกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 3 และที่ 4 คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ราชพัสดุ ตามแบบหมายเลข 3 ที่จำเลยที่ 2 ซื้อมาจากนายขำ ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 6 ไร่ 42 ตารางวาตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.11 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองว่า ที่ดินที่โจทก์ทั้งสองซื้อมาจากนางลาภตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นคนละส่วนกับที่ดินที่จำเลยที่ 2 ซื้อจากนายขำในปี 2499 ตามเอกสารหมาย จ.25 และ ล.11เมื่อโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินจากนางลาภแล้ว โจทก์ทั้งสองได้เข้ายึดถือครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน โจทก์ทั้งสองจึงได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367
พิพากษายืน