คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2477

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำอันเป็นความผิดใน 3 มาตราข้างต้นนั้นจะต้องมีเจตนาที่จะเป็นผิดฎีกาอุทธรณ์ ปัญหากฎหมาย

ย่อยาว

คดีนี้ศาลล่างทั้ง ๒ ให้ยกข้อหาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยโดยเห็นว่าคดีไม่มีมูลเป็นอาชญา
โจทก์ฎีกาอ้างว่าเป็นปัญหากฎหมาย ๓ ข้อ
(๑) โจทก์ถือกรรมสิทธิในที่ดินรายนี้ แต่เมื่อใด
(๒) จำเลยรู้หรือไม่ว่าที่ดินรายนี้เป็นของโจทก์
(๓) จำเลยบุกรุกลักทรัพย์แลทำร้ายทรัพย์ของโจทก์จะควรมีผิดหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาข้อ ๑-๒ เป็นข้อเท็จจริงฎีกาไม่ได้ ส่วนข้อ ๓ เป็นปัญหากฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าโจทก์ได้โก่นสร้างที่ดินรายนี้แต่ได้เช่าต่อ อ.จำเลยผู้จัดการของพระยาสุนทร ต่อมาพระยาสุนทรยกที่ให้ ก.กับ จ. แต่สามีแลบุตร์ โจทก์คงอยู่ในที่วิวาท พอสามีโจทกืไปเมืองจีนน้องโจทก์ก็เข้าอยู่ในที่กับบุตร์โจทก์ น้องโจทก์คงทำสัญญาเช่าจาก อ.จำเลยอีก ต่อมาโจทก์เป็นความกับ จ. ศาลพิพากษาให้ที่รายนี้เป็นสิทธิแก่โจทก์ ๆ จึงฟ้องจำเลยในคดีนี้ว่าระวางโจทก์เป็นความกับ จ. จำเลยได้ตัดไม้ไผ่และวิดบอ่ปลาในที่นี้ ซึ่งในขณะนั้นที่ดินอยู่ในความยึดถือของ อ.จำเลยแลจำเลยได้กระทำต่อหน้าบุตร์แลสามีโจทก์แสดงว่าโจทก์รู้ว่าที่ดินยังไม่เป็นกรรมสิทธิของโจทก์ แลแสดงว่า อ. จำเลยไม่มีเจตนาเป็นโจรโดยถือว่าเป็นผู้ให้เช่ามากอ่นโจทก์ แลจ. เป็นความกัน ซึ่งตามรูปเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยไม่มีเจตนาที่จะเป็นผิดเพราะความผิดทุกมาตรานั้นต้องการเจตนาที่จะเป็นผิดบ้าง เจตนาเป็นโจรบ้าง คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลในทางอาชญา จึงพิพากษายืน

Share