คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องไว้ 2 ข้อ ข้อ ก. ว่า จำเลยรับคนต่างด้าวซึ่งลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และข้อ ข. ว่า ภายหลังการกระทำความผิดข้อ ก. จำเลยให้ที่พำนัก ช่วยซ่อนเร้น และช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตามฟ้องของโจทก์จึงสามารถแยกเจตนาของจำเลยในการกระทำความผิดตามฟ้องแต่ละข้อได้อย่างชัดเจน การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องข้อ ก. และ ข. จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเป็นสองกรรม ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขในเรื่องโทษให้ผิดไปจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 4, 64 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 5, 22, 39 ประมวลกฎหมายอาญ มาตรา 189, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 39 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 39 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 22, 39 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องเพราะเหตุผลความจำเป็นในกิจการค้าของจำเลย ซึ่งเป็นอาชีพสุจริต ภายหลังจากจำเลยถูกจับดำเนินคดีนี้จำเลยได้นำคนต่างด้าวในคดีนี้ทั้งหมดไปยื่นคำร้องและจดทะเบียนรับใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และปัจจุบันจำเลยได้นำลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวดังกล่าวที่ยังทำงานอยู่กับจำเลยไปยื่นขอต่อใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย นับได้ว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น โดยแก้ไขสิ่งที่ตนปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ประกอบกับจำเลยประกอบอาชีพเป็นกิจจะลักษณะ และมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขฟื้นฟูให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยโดยรอการลงโทษจำคุกไว้สักครั้งหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองของจำเลย เห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดนั้น เห็นว่า คดีนี้ตามฟ้องข้อ ก. โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยรับคนต่างด้าวซึ่งลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย และตามฟ้องข้อ ข. โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในวันเวลาเดียวกันภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวแล้วจำเลยให้พี่พำนักและพักอาศัย ช่วยซ่อนเร้น และช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวดังกล่าว เพื่อไม่ให้คนต่างด้าวนั้น ถูกจับกุมและไม่ต้องรับโทษโดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชการอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการรับคนต่างด้าวนั้นให้เข้าทำงานที่โรงงานของจำเลย และตามฟ้องข้อ ข. โจทก์บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยได้ช่วยคนต่างด้าวดังกล่าวด้วยประการอื่นๆ อีกนอกจากการรับเข้าทำงาน ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงสามารถแยกเจตนาของจำเลยในการกระทำความผิดตามฟ้องแต่ละข้อได้อย่างชัดเจน การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องข้อ ก. และ ข. จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่เป็นกรรมเดียวดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเป็น 2 กรรม ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขในเรื่องโทษให้ผิดไปจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อให้พ้นจากการจับกุมตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กระทงหนึ่ง และจำเลยมีความผิดฐานรับคนต่างด้าวเข้าทำงานตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 39 อีกกระทงหนึ่งให้ลงโทษปรับจำเลย 50,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 25,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share