คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้ร้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมโอนที่ดินแปลงพิพาทให้ผู้ร้อง หากผิดสัญญาให้ผู้ร้อง บังคับได้ทันทีและให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแสดงเจตนาโอนกรรมสิทธิ์แทนจำเลยได้ เมื่อศาลได้พิพากษา ตามยอมเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษา ที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้งดการบังคับคดีของโจทก์ได้ โจทก์ฟ้องบังคับจำนอง ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลย ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ หนี้ตามสัญญาจำนองจึงกลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิไถ่จำนองตามจำนวนหนี้ในสัญญาจำนอง แต่มีสิทธิเข้าชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แทนจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ ศาลอุทธรณ์ให้ทุเลาการบังคับโดยให้จำเลยที่ 1 หาหลักประกันมาวางศาล จำเลยที่ 1ได้นำที่ดินโฉนดที่ 86692 ซึ่งจำนองไว้แก่โจทก์มาเป็นหลักประกันต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ยังคงให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกาและขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ศาลฎีกาสั่งให้จำเลยที่ 1 นำหลักทรัพย์มาวางศาลโดยให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกัน ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1นำหลักประกันมาวางศาลเพิ่มตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นจึงถือว่าคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยที่ 1 ได้ถูกยกเลิกไปตามคำสั่งศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 ในศาลตามคำพิพากษาตามยอม โดยจำเลยที่ 1 ยอมโดยที่ดินโฉนดที่ 86692 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้อง แต่ไม่สามารถโอนได้เพราะโจทก์ผู้รับจำนองไม่ยอมส่งมอบโฉนดที่ดินไปให้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน ผู้ร้องเห็นว่าผู้ร้องเป็นผู้อยู่ในฐานะเป็นผู้ที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รับชำระหนี้ตามสัญญาจำนองจากผู้ร้องให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินโฉนดที่ 86692 แก่ผู้ร้องเพื่อนำไปแก้ไขทางทะเบียน
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินที่โจทก์รับจำนองยังมิได้โอนไปเป็นของผู้ร้อง โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับเอาแก่ที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์จำนองได้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องและดำเนินการบังคับคดีให้โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดี ให้ผู้ร้องใช้สิทธิไถ่ถอนจำนองจากโจทก์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่งมิฉะนั้นให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องใช้สิทธิชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 ภายใน 60 วันนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นี้ มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจจะชำระหนี้แทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาข้อแรกมีว่า ผู้ร้องมีอำนาจมาร้องขอให้งดการบังคับคดีของโจทก์หรือไม่ เห็นว่าในสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 นั้นจำเลยที่ 1 ยอมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 86692 ให้ผู้ร้อง หากผิดสัญญายอมให้ผู้ร้องบังคับคดีได้ทันทีและให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแสดงเจตนาการโอนกรรมสิทธิ์แทนจำเลยได้ และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดตามยอม ผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300ผู้ร้องมีสิทธิร้องให้งดการบังคับคดีของโจทก์ได้ ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิไถ่จำนองที่ดินตามจำนวนหนี้ในสัญญาจำนองหรือไม่เห็นว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำนองและศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้แก่โจทก์หนี้ตามสัญญาจำนองจึงกลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิไถ่จำนองตามจำนวนหนี้ในสัญญาจำนอง แต่มีสิทธิเข้าชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230
พิพากษายืน แต่ให้ผู้ร้องใช้สิทธิชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 ภายใน 60 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกานี้ มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจชำระแทน

Share