แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นพี่ชายของผู้ตาย ถูกผู้ตายซึ่งมึนเมาสุรามาหาเรื่องและทำร้ายชกต่อยจำเลย แม้จำเลยหนีลงจากบ้านไปแล้ว ผู้ตายยังติดตามจำเลยลงไปอย่างกระชั้นชิดและทำร้ายจำเลยอีก เป็นเหตุให้จำเลยเกิดบันดาลโทสะจึงได้หยิบฉวยไม้ด้ามเสียมซึ่งวางอยู่ที่พื้นดิน บริเวณหน้าบ้านนางโปยใกล้ที่เกิดเหตุตีไปที่ผู้ตาย 2 ถึง 3 ครั้ง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอย่างกระทันหันฉุกละหุก โดยจำเลยไม่มีโอกาสเลือกอาวุธ ทั้งไม่ได้เลือกตีบริเวณส่วนใดของ ร่างกายผู้ตาย เป็นการตีโดยไม่อาจทราบว่าจะถูกอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่าและเป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงเหตุอันไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 เมื่อทางพิจารณารับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐาน ทำร้ายร่างกายผู้ตายจนถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 72 ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้ อ้างเหตุบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุก 9 ปี คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยบันดาลโทสะใช้ไม้ด้ามเสียมของกลางตีทำร้ายผู้ตายถูกบริเวณกะโหลกศีรษะ ใบหน้าและแขน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย รายละเอียดปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางโปยพยานโจทก์ว่า ผู้ตายซึ่งเมาสุราเดินขึ้นมาบนบ้านนางโปยเพื่อถามหานางเต่าภริยาของผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายทะเลาะกับนางเต่า เมื่อไม่พบนางเต่า ผู้ตายก็ลงจากบ้านไป หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที ผู้ตายมาขอกุญแจรถยนต์จากจำเลย จำเลยเห็นว่าผู้ตายเมาสุราจึงไม่ให้ ผู้ตายผลักจำเลยล้มลงและด่าว่าจำเลย แล้วเดินลงจากบ้านนางโปยไปต่อมาผู้ตายกลับมาหาจำเลยอีกครั้งหนึ่งในสภาพมึนเมาสุราและโมโห ผู้ตายเข้ามากระชากคอเสื้อของจำเลยและถามหากุญแจรถยนต์อีก แต่จำเลยไม่ให้ ผู้ตายจึงชกใบหน้าจำเลย 2 ถึง 3 ครั้ง จำเลยล้มลงกับพื้นแล้วลุกขึ้นจะหนี แต่ผู้ตายกอดตัวจำเลยไว้แล้วมีการกอดปล้ำกัน เมื่อจำเลยหลุดจากผู้ตายได้วิ่งลงจากบ้านไป ผู้ตายวิ่งตามลงไปทางหน้าบ้านของนางโปยแล้วจำเลยหยิบไม้ด้ามเสียมซึ่งอยู่บริเวณหน้าบ้านนางโปยไปที่ผู้ตาย นายแพทย์กมล พยานโจทก์ซึ่งทำการชันสูตรพลิกศพระบุว่าบาดแผลที่เกิดจากของแข็งกระแทกอย่างแรงที่ศีรษะทำให้ผู้ตายเสียชีวิต บาดแผลที่ดั้งจมูกและที่แขนไม่สามารถทำให้ตายได้ และบาดแผลที่ศีรษะของผู้ตายถูกตีเพียงครั้งเดียว เห็นว่า จำเลยเป็นพี่ชายของผู้ตาย เมื่อถูกผู้ตายซึ่งมึนเมาสุรามาหาเรื่องและทำร้ายชกต่อยจำเลยแม้จำเลยหนีลงจากบ้านไปแล้ว ผู้ตายยังติดตามจำเลยลงไปอย่างกระชั้นชิดและทำร้ายจำเลยอีกเป็นเหตุให้จำเลยเกิดบันดาลโทสะจึงได้หยิบฉวยได้ไม้ด้ามเสียมซึ่งวางอยู่ที่พื้นดินบริเวณหน้าบ้านนางโปยใกล้ที่เกิดเหตุนั่นเอง แล้วใช้ไม้ดังกล่าวตีไปที่ผู้ตาย 2 ถึง 3 ครั้ง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอย่างกระทันหันฉุกละหุก โดยจำเลยไม่มีโอกาสเลือกอาวุธ ทั้งไม่ได้เลือกตีบริเวณส่วนใดของร่างกายผู้ตาย เป็นการตีโดยไม่อาจทราบว่าจะถูกอวัยวะส่วนใดของผู้ตายประกอบกับชั้นสอบสวนจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ตีผู้ตายจริงแต่ไม่มีเจตนาฆ่า เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ประกอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วรับฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่าและเป็นการกระทำโดยเหตุบันดาลโทสะเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยบันดาลโทสะและฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
อนึ่งโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 เมื่อทางพิจารณารับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 72 ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 3 ปี คำให้การและทางพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3