แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3 รวม 5 ฉบับ ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับไปด้วยความเข้าใจผิดของพนักงานโจทก์ โจทก์มิได้มีเจตนาประสงค์จะปลดหนี้ให้แก่จำเลยทั้งสาม แม้จำเลยที่ 3 จะได้รับเวนคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ ซึ่งเข้าข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคสาม ว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 1ยังมิได้ชำระหนี้ที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันแก่โจทก์ และหนี้ดังกล่าวหาได้ระงับไปด้วยเหตุประการอื่นใดไม่ จำเลยที่ 1ยังคงต้องชำระหนี้นั้นต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698จำเลยที่ 3 จะอ้างธรรมเนียมปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์ว่าเมื่อจำเลยที่ 3 ได้รับเวนคืนต้นฉบับหนังสือค้ำประกันจากจำเลยที่ 2ผู้เป็นลูกค้าโดยสุจริต แม้ไม่ได้รับเวนคืนจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 3 ก็หลุดพ้นจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันแล้วหาได้ไม่ เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความระงับสิ้นไปแห่งการค้ำประกันดังที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ถึงมาตรา 701 ส่วนที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าไม่อาจไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 สำหรับหลักประกันที่ได้คืนให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อยกเลิกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวได้ เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ต้องไปว่ากล่าวกันต่างหากต่อไปหาได้เกี่ยวข้องกับการหลุดพ้นจากความรับผิดของจำเลยที่ 3ในฐานะผู้ค้ำประกันแต่อย่างใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาเป็นตัวแทนโจทก์จำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรมีกำหนด 1 ปี โดยก่อนการรับปุ๋ยไปจากโจทก์แต่ละครั้ง จำเลยที่ 1 ต้องมอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารในวงเงินไม่น้อยกว่ามูลค่าปุ๋ยที่จะรับไปในแต่ละครั้งให้โจทก์ไว้ จำเลยที่ 1 รับปุ๋ยไปจากโจทก์รวม 4 ครั้งโดยมีหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3 รวม 6 ฉบับ เป็นหลักประกันต่อมาจำเลยที่ 1 ขอยกเลิกและขอคืนหนังสือค้ำประกันที่ ค.มห.91/2527 โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ยังมิได้รับปุ๋ยไปตามวงเงินค้ำประกันดังกล่าว จึงอนุมัติคืนหนังสือค้ำประกันฉบับนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ด้วยความผิดพลาดของพนักงานโจทก์จึงได้หยิบหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3 ทั้งหมดรวม 6 ฉบับ คืนให้จำเลยที่ 1 ไปโดยโจทก์ไม่มีเจตนาปลดหนี้ตามหนังสือค้ำประกันที่หยิบคืนเกินไป 5 ฉบับ นั้นแต่อย่างใด จำเลยที่ 3 จึงยังไม่พ้นความรับผิดเนื่องจากสัญญาค้ำประกันระบุว่าจะไม่เพิกถอนการค้ำประกันในระหว่างที่หนี้ประธานยังไม่ระงับ ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ขายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรและชำระเงินให้โจทก์บางส่วนยังคงค้างชำระอยู่ 2,778,750 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 370,690.24 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,149,441.24 บาท โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 3,149,441.24 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 2,778,750 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยที่ 131/2527 สิ้นสุดวันที่ 1 กรกฎาคม 2528จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ปฏิบัติผิดสัญญาแต่อย่างใด สัญญาจึงเป็นอันเลิกหรือระงับสิ้นไป พนักงานของโจทก์ได้คืนหนังสือค้ำประกันรวม 6 ฉบับ ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมิได้สำคัญผิด หรือหากสำคัญผิดก็เป็นเรื่องที่พนักงานของโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทั้งเมื่อสัญญาเลิกหรือระงับแล้ว โจทก์ต้องคืนหลักประกัน10,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ได้เวนคืนต้นฉบับหนังสือค้ำประกันทั้งหกฉบับให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้นำมามอบให้จำเลยที่ 3เพื่อยกเลิกซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ยกเลิกหนังสือค้ำประกันทั้งหกฉบับและคืนหลักประกันให้แก่จำเลยที่ 1 ไปแล้ว จำเลยที่ 3 จึงหลุดพ้นความรับผิดตั้งแต่วันที่ได้รับคืนต้นฉบับหนังสือค้ำประกันจากจำเลยที่ 1 การที่พนักงานของโจทก์สำคัญผิดคืนหนังสือค้ำประกันให้จำเลยที่ 1 ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์โจทก์จะยกเป็นข้ออ้างให้จำเลยที่ 3 ผู้กระทำการโดยสุจริตต้องรับผิดหาได้ไม่ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าปุ๋ยให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิรับเงินหลักประกันจำนวน 10,000 บาท ตามสัญญา ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินจำนวน3,149,441.24 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 2,778,750 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นโดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นเงินไม่เกิน 2,808,000 บาทยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 2,808,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 2,780,186.05 บาท นับแต่วันที่ 16สิงหาคม 2528 ซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือค้ำประกันคืนจากจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3รวม 5 ฉบับ ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับไปด้วยความเข้าใจผิดของพนักงานโจทก์ โจทก์มิได้มีเจตนาประสงค์จะปลดหนี้ให้แก่จำเลยทั้งสาม แม้จำเลยที่ 3 จะได้รับเวนคืนหนังสือค้ำประกันทั้งห้าฉบับดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ซึ่งเข้าข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327วรรคสามว่า หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่ข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ก็ย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นได้เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระหนี้เงินค่าจำหน่ายปุ๋ยที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือค้ำประกันทั้งห้าฉบับดังกล่าวแก่โจทก์ และหนี้ดังกล่าวหาได้ระงับไปด้วยเหตุประการอื่นใดไม่ จำเลยที่ 1 ยังคงต้องชำระหนี้นั้นต่อโจทก์จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 จำเลยที่ 3จะอ้างธรรมเนียมปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไปว่าเมื่อจำเลยที่ 3 ได้รับเวนคืนต้นฉบับหนังสือค้ำประกันจากจำเลยที่ 2ผู้เป็นลูกค้าโดยสุจริต แม้ไม่ได้รับเวนคืนจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ จำเลยที่ 3 ก็หลุดพ้นจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันแล้วหาได้ไม่ ทั้งนี้เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความระงับสิ้นไปแห่งการค้ำประกันอันเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด ดังที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วในประมวลกฎหมาย-แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ถึงมาตรา 701 ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3ต้องเสียหายเพราะจำเลยที่ 3 ได้ยกเลิกหนังสือค้ำประกันทั้งห้าฉบับคืนหลักประกันที่จำเลยที่ 1 ให้ไว้ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 และไม่อาจไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 สำหรับหลักประกันนั้นได้ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ต้องไปว่ากล่าวกันต่างหากต่อไปหาได้เกี่ยวข้องกับการหลุดพ้นจากความรับผิดของจำเลยที่ 3ในฐานะผู้ค้ำประกันแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน