คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4137/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

อุทธรณ์โจทก์ที่ว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยในฐานะทายาทและในฐานะผู้จัดการมรดกของ อ. ผู้ตายโอนที่ดินของผู้ตายเป็นชื่อของจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 แต่เพิ่งโอนที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยในฐานะส่วนตัวเมื่อ วันที่ 14 พฤษภาคม 2544 เนื่องจากจำเลยทราบว่า ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำพิพากษาแล้ว และจำเลยสามารถนำที่ดินของผู้ตายไปวางเป็นหลักประกันต่อศาลในการขอทุเลาการบังคับคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดได้ แต่จำเลยกลับขอขยายระยะเวลาในการวางหลักประกันออกไป เมื่อศาลไม่อนุญาต จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งและนำที่ดินของบุคคลอื่นไปวางเป็นหลักประกันต่อศาลแทน แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนโดยรู้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วนั้น เป็นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยปรับข้อเท็จจริงที่รับฟังได้แล้วนั้นว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้องหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยในฐานะทายาทและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายอดุลผู้ตายโอนที่ดินของผู้ตายเป็นชื่อของจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 แต่เพิ่งโอนที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยในฐานะส่วนตัวเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 เนื่องจากจำเลยทราบว่า ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำพิพากษาแล้ว และจำเลยสามารถนำที่ดินของผู้ตายไปวางเป็นหลักประกันต่อศาลในการขอทุเลาการบังคับคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดได้ แต่จำเลยกลับขอขยายระยะเวลาในการวางหลักประกันออกไป เมื่อศาลไม่อนุญาต จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งและนำที่ดินของบุคคลอื่นไปวางเป็นหลักประกันต่อศาลแทน แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนโดยรู้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วนั้น เป็นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยปรับข้อเท็จจริงที่รับฟังได้แล้วนั้นว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้องหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นว่าหากศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์แล้วคดีอาจมีผลต่อการฎีกาของโจทก์ตามกฎหมายได้ จึงสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาพิพากษาใหม่”
พิพากษาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share