แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องสลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภ.ไว้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อประกันหนี้ของผู้ร้องและตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ห้ามเปลี่ยนมือ การสลักหลังดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินเรียกเก็บเงินตามตั๋วได้ในวันถึงกำหนด โดยไม่ต้องบอกกล่าวการจำนำแก่บริษัทภ.และบังคับเอากับบริษัทภ. ผู้ออกตั๋วได้ และการที่จำเลยที่ 1ทำหนังสือตกลงสละสิทธิที่จะไม่เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้อีกหากการบังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น จำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์จะบังคับชำระหนี้โดยการบังคับจำนำตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่บริษัทภ.ออกให้แก่ผู้ร้องเท่านั้นซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องถูกผูกพันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้รายนี้อีกไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้สิบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนด 14 วัน นับแต่วันรับหนังสือผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องสลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งออกโดยบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อจำนำเป็นประกันหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ร้องเป็นผู้ออกและจำเลยที่ 1มีหนังสือตกลงยินยอมรับชำระหนี้จากผู้ร้องโดยการชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด กับตกลงสละสิทธิที่จะไม่เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้อีก ทั้งตกลงว่าหากต้องมีการบังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งออกโดยบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ได้เงินไม่พอชำระหนี้ของผู้ร้องจำเลยที่ 1 จะไม่เรียกร้องเอาจากผู้ร้องอีก การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ จึงไม่ถูกต้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นหนี้จำเลยที่ 1
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้าน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องได้สลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด เป็นประกันหนี้ไว้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 917 ประกอบด้วยมาตรา 306 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องและจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ลูกหนี้แห่งตราสาร การโอนดังกล่าวจึงไม่อาจบังคับหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บริษัทภาวินเครดิต จำกัดได้ และแม้จะได้มีการสลักหลังจำนำไว้แก่จำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการบอกกล่าวการจำนำนั้นให้ทราบถึงบริษัทภาวินเครดิต จำกัด จึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 752 เช่นเดียวกัน เมื่อยังไม่ได้มีการชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ได้โอนและจำนำไว้แก่จำเลยที่ 1หนี้เงินกู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ร้องออกให้แก่จำเลยที่ 1จึงยังไม่ระงับ และถึงแม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้สละสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ร้องออกให้จำเลยที่ 1แล้วก็ตาม ผู้ร้องก็หาหลุดพ้นจากหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไปได้ไม่มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 5,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 22 กันยายน 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ส่วนค่าทนายความนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้แต่งทนายมาว่าความจึงไม่กำหนดให้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องได้สลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 ไว้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อประกันหนี้ของผู้ร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.2 และเนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 ไม่ได้ห้ามเปลี่ยนมือ ผลแห่งการสลักหลังเพื่อจำนำนี้ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวเรียกเก็บเงินตามตั๋วนั้นได้ในวันถึงกำหนด โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวการจำนำแก่บริษัทภาวินเครดิต จำกัดผู้ออกตั๋วและไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวก่อนเมื่อจะบังคับจำนำตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 926ประกอบด้วยมาตรา 985 และ มาตรา 752, 766 กรณีมิใช่เป็นการโอนตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่กันด้วยสลักหลังและส่งมอบตามที่มาตรา 917, 919 ประกอบด้วยมาตรา 985 บัญญัติไว้และไม่เกี่ยวกับมาตรา 306 ดังที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก้ฎีกามา ฉะนั้นการจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 จึงมีผลสมบูรณ์บังคับเอาแก่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด ผู้ออกตั๋วได้ข้อที่จะต้องพิจารณาต่อไปมีว่าการที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือฉบับลงวันที่ 22 กันยายน 2526 เอกสารหมาย ร.9 ตกลงสละสิทธิที่จะไม่เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้อีก และตกลงว่าหากต้องมีการบังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 แล้ว ได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.2 จำเลยที่ 1จะไม่เรียกร้องเอาจากผู้ร้องอีกแต่อย่างใดทั้งสิ้นนั้นมีความหมายว่า จำเลยที่ 1 ตกลงไม่เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้รายนี้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ดังที่ผู้ร้องฎีกา หรือมีความหมายแต่เพียงว่าหากจำเลยที่ 1 บังคับจำนกเอาแก่ตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 แล้วได้ไม่พอชำระหนี้จำเลยที่ 1 ตกลงที่จะไม่เรียกร้องเอาส่วนที่ขาดอยู่จากผู้ร้องอีกเท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการบังคับจำนำไม่ได้เลยตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก้ฎีกาศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ได้ความจากคำเบิกความของนายแก่นสาร สันตะกุล พยานผู้ร้องซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้น กับจากคำให้การของนายเฉลิมชัย อุทัยสมัยรัตน์ ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีของบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามเอกสารหมาย ค.5 ว่า มูลเหตุที่ก่อหนี้รายพิพาทนี้เนื่องมาจากบริษัทภาวินเครดิต จำกัดต้องการกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ให้บริษัทภาวินเครดิตจำกัด กู้ยืมเงินโดยตรงไม่ได้เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งห้ามไว้ จำเลยที่ 1 จึงให้ผู้ร้องกู้ยืมเงินไปให้บริษัทภาวินเครดิต จำกัด กู้ยืมต่ออีกทอดหนึ่ง ทั้งตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.2 ที่ผู้ร้องออกให้แก่จำเลยที่ 1และตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 ที่บริษัทภาวินเครดิต จำกัดออกให้แก่ผู้ร้อง แล้วผู้ร้องสลักหลังจำนำไว้แก่จำเลยที่ 1ต่างก็ได้ออกตั๋วและสลักหลังจำนำในวันเดียวกัน จำนวนเงินเท่ากันกำหนดใช้เงินในวันเดียวกัน หนังสือของผู้ร้องเอกสารหมาย ร.8ที่ขอชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.2 ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4 กับหนังสือตอบตกลงของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย ร.9 ได้กระทำขึ้นพร้อมกันในวันเดียวกันนั้นเอง แสดงว่าได้กระทำขึ้นโดยการตกลงกันระหว่างจำเลยที่ 1ผู้ร้อง และบริษัทภาวินเครดิต จำกัด ทั้งสามฝ่ายตามที่นายเฉลิมชัยได้ให้การไว้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมานี้บ่งชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1โดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์ที่จะบังคับชำระหนี้โดยการบังคับจำนำเอาแก่ตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ค.4ที่บริษัทภาวินเครดิต จำกัด ออกให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น ฉะนั้นข้อตกลงของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ร.9 ที่ว่าจำเลยที่ 1ตกลงสละสิทธิที่จะไม่เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้อีก จึงมีความหมายว่า จำเลยที่ 1 ตกลงไม่เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้รายนี้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องถูกผูกพันตามข้อตกลงนี้ดังที่ผู้ร้องฎีกา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมาเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้รายนี้อีกหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1