แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างอุทธรณ์โจทก์ซึ่งชนะคดีจำเลยในเรื่องฟ้องให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างล้ำเข้าไปในที่โจทก์ ซึ่งโจทก์เช่ามา พร้อมด้วยเรียกค่าเสียหาย โจทก์ได้โอนสิทธิการเช่าที่ไปยังบุคคลอื่น จำเลยจะถือว่าโจทก์มีสิทธิบังคับตามคำพิพากษาเพียงวันโอนไม่ได้ เพราะการโอนเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับผู้รับโอน ส่วนจำเลยมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา
ย่อยาว
คดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล้ำเข้ามาในที่ดินที่โจทก์เช่าจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายต่อไปเดือนละ ๑๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรือ้ถอนสิ่งปลูกสร้างที่ล้ำเข้ามาออกไป ศาลชั้นต้นได้ออกบังคับไปยังจำเลย
ครั้นวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๐๐ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อคดีนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ได้โอนสิทธิการเช่าที่ดินรายพิพาทไปยังบุคคลอื่น เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๔๙๖ ปรากฎตามหลักฐานที่จำเลยเสนอมา ดั่งนี้โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าที่พิพาทต่อไป โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าได้ถึงวันโอน ต่อไปเรียกไม่ได้ จึงขอให้ศาลพิจารณาคำร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีเหตุที่สังให้จำเลยได้ จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะได้โอนสิทธิการเช่าที่รายพิพาทไปยังบุคคลอื่นจริงตามคำร้องของจำเลยก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบุคคลที่รับโอนสิทธิไปจากโจทก์ หาเกี่ยวกับจำเลยอย่างใดไม่ โจทก์กับจำเลยยังเป็นคู่ความกันอยู่ จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติไปตามคำพิพากษา จึงพิพากษายืน