คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4128/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 40 วรรคสอง กำหนดว่าหากที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเป็นของคนละเจ้าของกันแล้วเป็นหน้าที่ของเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินจากค่ารายปีของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างรวมกันกับส่วนของที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นนั้นด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ส่วน ป. กับ จ. เป็นเจ้าของที่ดิน ดังนั้น ค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจาก ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. จึงเป็นการให้เช่าสถานีบริการรวมทั้งที่ดินใช้ต่อเนื่องกับสถานีบริการแสดงว่าเงินค่าเช่าดังกล่าวเป็นค่าเช่าสถานีบริการและเช่าที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องด้วย จึงเป็นค่ารายปีที่โจทก์ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำชี้ขาดของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

จำเลยให้การว่า การประเมินและคำชี้ขาดชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินตามใบแจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน เล่มที่ 54 เลขที่ 10 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2538 และใบแจ้งคำชี้ขาดเล่มที่ 19 เลขที่ 52 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2539 และให้จำเลยคืนเงินภาษีจำนวน18,484.17 บาท ภายในสามเดือนนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงิน18,484.17 บาท นับถัดจากวันครบกำหนดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 21กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์ได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 1 ถึง 3 โดยระบุรายละเอียดว่า ได้รับค่าเช่าจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชนะบริการ จำนวน 343,440 บาท และระบุชื่อเจ้าของที่ดินและค่าเช่าที่ดินปีละ 201,333.33 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทำการประเมินโดยนำค่าเช่าที่ดินจำนวน 201,333.33 บาท รวมกับค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจำนวน 343,440 บาท มากำหนดเป็นค่ารายปีจำนวน 544,773.33 บาท ค่าภาษีจำนวน 68,096.67 บาท ตามใบแจ้งรายการประเมินเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 โจทก์ชำระค่าภาษีดังกล่าวแล้วได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนได้ชี้ขาดเห็นชอบด้วยกับการประเมินของเจ้าหน้าที่ตามใบแจ้งคำชี้ขาด เอกสารหมาย ล.6 แผ่นที่ 5 ศาลภาษีอากรกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเงินจำนวน 343,440 บาท ที่โจทก์แสดงไว้ในแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2538 เป็นค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยชนะบริการในการให้เช่าสถานีบริการรวมทั้งที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับสถานีบริการ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2538 และคำชี้ขาดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าผู้เป็นเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างกับผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินในคดีนี้เป็นคนละเจ้าของกัน โดยโจทก์เป็นเจ้าของสถานีบริการ ส่วนนางปริยาวดี วัดแก้ว กับนางจันทนา ธีระธาดา เป็นเจ้าของที่ดิน ดังนั้นคดีจึงต้องด้วยบทบัญญัติของมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ซึ่งบัญญัติว่า แต่ถ้าที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆเป็นของคนละเจ้าของเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ต้องเสียภาษีทั้งสิ้น ฯลฯ นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดว่าหากที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเป็นของคนละเจ้าของกันแล้ว เป็นหน้าที่ของเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมกันแต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยชนะบริการเป็นการให้เช่าสถานีบริการ รวมทั้งที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับสถานีบริการ แสดงว่าเงินค่าเช่าจำนวน 343,440 บาท เป็นค่าเช่าสถานีบริการและค่าเช่าที่ดินรวมกันแล้ว การที่โจทก์ในฐานะเจ้าของโรงเรือนซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมกันมาแล้ว จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายดังนั้น การประเมินของพนักงานเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share