แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การคำนวณกำไรสุทธิ ในรอบระยะบัญชีปี พ.ศ. 2520 โจทก์หักค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเป็นเงินค่าธรรมเนียมการบริหารงานให้แก่บริษัทที่รับบริหารงานให้โจทก์ เป็นเงิน 3,798,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินให้ถือเป็นรายจ่ายได้เพียง 300,000 บาท แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ยอมให้ถือเป็นรายจ่ายทั้งหมดและมีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มและเงิน เพิ่มอีกรวม 78,210.44 บาท นั้นเมื่อโจทก์ได้ยื่นฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งจึงไม่ชอบที่จะพิจารณาในคดีนี้อีก
การที่ใบหุ้นสูญหายหาทำให้สิทธิในการเป็นผู้ถือหุ้นระงับหรือหมดไปไม่ สิทธิในหุ้นของโจทก์มีอย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้นดังนี้โจทก์จะตีราคาหุ้นสำหรับใบหุ้นที่หายแล้วลงจำหน่ายเป็น หนี้สูญเพื่อคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ (9) หาได้ไม่
ค่าบริการเพิ่ม (INCENTIVE FEE) ซึ่งโจทก์จะต้องจ่ายให้แก่บริษัทที่รับบริหารงานให้โจทก์โดยมีข้อตกลงกันว่า โจทก์จะต้องจ่ายให้เป็นเงินจำนวนเท่ากับเงินที่โจทก์มีพอ หลังจากที่ได้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 30 ของทุนที่จดทะเบียนแล้วอันเป็นรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (19) จึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก ๑,๕๐๑,๐๙๖.๑๐ บาท กับเงินเพิ่มอีก ๓๐๐,๒๑๔.๒๒ บาท รวมเป็นเงิน ๑,๘๐๑,๓๑๕.๓๒ บาท อ้างว่าโจทก์นำรายจ่ายอันมีลักษณะต้องห้ามมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ยอมให้นำค่าหลักทรัพย์สูญหาย ๖๙๓,๙๙๐ บาท มาคำนวณเป็นรายจ่าย ส่วนค่าธรรมเนียมในการบริหารงานจำนวน ๓,๔๙๘,๐๐๐ บาท เจ้าพนักงานประเมินยอมให้ถือเป็นรายจ่ายได้ ๓๐๐,๐๐๐ บาท แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ยอมให้ถือเป็นรายจ่ายทั้งหมด และสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มสำหรับค่าธรรมเนียมจำนวนนี้เป็นเงิน ๗๘,๒๑๐.๔๔ บาท คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดเงินเพิ่มลง ๑๕๐,๑๐๙.๖๑ บาท รวมสั่งให้โจทก์เสียภาษีทั้งสิ้น ๑,๗๒๙,๔๑๖.๑๕ บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มเติม โจทก์จะนำเรื่องหลักทรัพย์สูญหายมาหักเป็นรายจ่ายไม่ได้ ค่าธรรมเนียมการบริหารนั้นเป็นรายจ่ายที่กำหนดภายหลังจากการคำนวณกำไรสุทธิ ต้องห้ามตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) ต้องนำกลับมารวมเป็นกำไรสุทธิ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ไม่ยอมให้โจทก์นำเงิน ๓,๗๙๘,๐๐๐ บาท ไปเป็นรายจ่ายคำนวณกำไรสุทธิ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากาาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มและเงินเพิ่มอีกรวม ๗๘,๒๑๐.๔๔ บาท และโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้น โจทก์ได้ยื่นฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งจึงไม่ชอบที่จะพิจารณาในคดีนี้อีก
ในปัญหาเรื่องหลักทรัพย์ (ใบหุ้น) ที่สูญหายคิดเป็นราคา ๖๙๓,๙๙๐ บาทนั้นเห็นว่า การที่ใบหุ้นสูญหายหาได้ทำให้สิทธิในการเป็นผู้ถือหุ้นระงับหรือหมดไปไม่สิทธิในหุ้นของโจทก์มีอย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น เป็นแต่โจทก์ยังไม่สามารถที่จะขอให้บริษัทออกหุ้นใหม่ให้ได้ เนื่องจากไม่ทราบหมายเลขหุ้นที่หายดังคำเบิกความของนายวิทยาพยานโจทก์ สิทธิในหุ้นของผู้ถือหุ้นจะหมดไปก็เฉพาะแต่การโอนหรือเพราะเหตุการณ์บางอย่างดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓๒ ฉะนั้นโจทก์จะตีราคาหุ้นสำหรับใบหุ้นที่หายแล้วลงจำหน่ายเป็นหนี้สูญเพื่อคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา ๖๕ ทิว (๙) หาได้ไม่
ส่วนปัญหาในเรื่องค่าธรรมเนียมในการบริหารงานที่โจทก์จ่ายให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด จำนวน ๓,๗๙๘,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยถือว่าเป็นรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีท จึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตาม มาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) นั้น ได้พิเคราะห์ความในข้อ ๕ ของหนังสือสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การตลาดและการจัดการตามเอกสารหมาย จ.๘ แล้วปรากฏว่า ค่าตอบแทนซึ่งโจทก์จะต้องจ่ายให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด นั้น แยกออกเป็น ๒ จำนวน คือ จำนวนหนึ่งโจทก์จะต้องจ่ายเป็นรายเดือนได้แก่ ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมด และค่าบริการจัดการ (Management fee) เป็นจำนวนอันสมควร อีกจำนวนหนึ่งได้แก่ค่าบริการเพิ่ม (Incentive fee) ซึ่งโจทก์จะต้องจ่ายให้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เป็นจำนวนเท่ากับเงินที่โจทก์มีพอหลังจากที่ได้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ๓๐ ของหุ้นที่จดทะเบียนแล้ว เงินจำนวนหลังที่โจทก์จะต้องจ่ายให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด นี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเงินจำนวน ๓,๗๙๘,๐๐๐ บาท นั้นเป็นเงินค่าดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และค่าบริการจัดการ หรือเป็นค่าบริการเพิ่ม ซึ่งถ้าปรากฏว่าเป็นค่าบริการเพิ่มก็ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว
ข้อเท็จจริงในเรื่องเงินค่าตอบแทนตามความในข้อ ๕ ของหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๘ นั้น ปรากฏจากคำให้การของนายวิทยาต่อเจ้าพนักงานประเมินตามเอกสารหมาย จ.๑๖ ว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ โจทก์จ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ๕,๔๗๕,๐๐๐ บาท แต่อ้างว่าได้แยกเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ๑,๖๗๗,๐๐๐ บาท ที่เหลืออีก ๓,๗๙๘,๐๐๐ บาท เป็นค่าบริการจัดการศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริษัทโจทก์เพิ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ และปรากฏจากคำให้การของนายวิทยาในเอกสารหมาย จ.๑๔ ว่าปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โจทก์มีกำไรสุทธิเพียง ๒,๖๐๔.๐๔ บาท ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โจทก์ขาดทุนสุทธิ ๗๖,๐๔๗.๒๓ บาท ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ โจทก์ขาดทุนสุทธิ ๑๒,๘๒๔.๒๘ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่ขาดทุนนี้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าสำนักงาน๓๙,๖๐๐ บาท และตามคำฟ้องปรากฏว่าจ่ายเป็นค่าบริการจัดการ ๑๒๐,๐๐๐ บาท (เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท) รวมเป็นเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าตอบแทนให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เพียง ๑๕๙,๖๐๐ บาทเท่านั้น มิได้มีการจ่ายค่าบริการเพิ่มแต่ประการใด ทั้งนี้เนื่องจากโจทก์ขาดทุน แต่พอมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ปรากฏว่าโจทก์จ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด สูงถึง ๑,๖๗๗,๐๐๐ บาท โดยที่ไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์เลยว่า ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบแทนโจทก์สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เพิ่มขึ้นกว่าปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มากน้อยเพียงไร จึงต้องถือหรือเป็นที่เข้าใจได้ว่า ค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๒๐ น่าจะไม่แตกต่างไปจากปีพ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อคิดหักค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ออกแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นค่าบริการจัดการไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท จึงเชื่อได้ว่าเงิน ๑,๖๗๗,๐๐๐ บาท นั้นเป็นเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมทั้งค่าบริการจัดการ (Management fee) ตามความในข้อ ๕ ของหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๘ ดังนั้น เงินจำนวน ๓,๗๙๘,๐๐๐ บาท จึงต้องเป็นเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าบริการเพิ่ม (Incentive fee) และโดยที่ความในข้อ ๕ ของหนังสือสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๘ กำหนดให้จ่ายจากเงินที่โจทก์มีพอหลังจากที่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ ๓๐ เงินจำนวนดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการในการคำนวณกำไรสุทธิ ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑๙) แห่งประมวลรัษฎากร ฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
พิพากษาแก้ เป็นให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เฉพาะส่วนที่ไม่ยอมให้โจทก์หักภาษีเพิ่มและเงินเพิ่ม ๗๘,๒๑๐.๔๔ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์