คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาร่วมกับพวกบุกรุกตึกแถวพิพาท และทำให้เสียทรัพย์โดยทุบทำลายส่วนต่าง ๆ ของตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหายซึ่งโจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย ส่วนคดีแพ่งโจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยกระทำละเมิดโดยเข้าไปครอบครองและทุบทำลายตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว เมื่อคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง คดีแพ่งจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์
เมื่อคดีแพ่งเป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญาจึงต้องใช้อายุความทางอาญาซึ่งยาวกว่ามาบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งตามบทมาตราที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำผิดฐานบุกรุกโดยมีเหตุฉกรรจ์และทำให้เสียทรัพย์มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินห้าปี จึงมีอายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 100143 พร้อมตึกแถวสามชั้นครึ่ง 1 คูหา เลขที่ 33/3 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 100145และ 100146 พร้อมตึกแถวสี่ชั้น 2 คูหา เลขที่ 33 และ 33/1 จำเลยใช้ตึกแถวของจำเลยดังกล่าวและตึกแถวเลขที่ 33/2 ซึ่งจำเลยเช่าจากนางพยุง ภู่ทองหรือเมฆครุฑ ประกอบการค้าตัดเย็บเสื้อผ้าใช้ชื่อร้านว่า “เด่น” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2534 จำเลยได้เข้าครอบครองและกระทำละเมิดในตึกแถวเลขที่ 33/3 ของโจทก์ โดยใช้ช่างผู้รับเหมาก่อสร้างทุบฝาผนังกั้นห้องตึกแถวของโจทก์ทุกชั้น แล้วทำผนังห้องน้ำใหม่ ทุบห้องน้ำ บันได รื้อประตูม้วนเหล็กทึบออก แล้วนำประตูม้วนเหล็กโปร่งมาใส่แทน รื้อระบบไฟฟ้าและประปา การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 1,286,500 บาท และโจทก์ขาดประโยชน์จากการนำตึกแถวให้ผู้อื่นเช่าเดือนละ 35,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยครอบครองถึงวันฟ้องเป็นเวลา 11 เดือน 28 วัน และโจทก์จะต้องใช้เวลาปรับปรุงซ่อมแซมตึกแถวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมอีก 4 เดือน รวมเป็นเวลา 15 เดือน 28 วัน เป็นค่าขาดประโยชน์ 557,666 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,844,666 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน1,286,500 บาท และใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 35,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไปจากที่ดินและตึกแถวของโจทก์และส่งมอบการครอบครองแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 100143 พร้อมตึกแถวเลขที่ 33/3 จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร ทั้งไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำเลยประกอบอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าผู้ชาย ใช้ชื่อทางการค้าว่า “เด่น” เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วและได้ขยายกิจการทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดจำนวนหลายร้าน จำเลยแบ่งความรับผิดชอบและการดูแลให้แก่หุ้นส่วนและหรือผู้จัดการแต่ละร้าน จำเลยควบคุมดูแลร้านตัดเสื้อ “เด่น” ที่จังหวัดชลบุรี มิได้เกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิดต่อโจทก์และมิได้เข้ายึดถือครอบครองตึกแถวของโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 33/3 และที่ดินโฉนดเลขที่ 100143 ตำบลหมาก (หัวหมากใต้) อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ และให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมให้โจทก์เพิ่มขึ้นอีก 100,000 บาท และค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินและตึกแถวพิพาทอีกเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะได้ส่งมอบที่ดินและตึกแถวที่พิพาทคืนแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่าจำเลยถูกพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดฟ้องเป็นคดีอาญาตามคดีหมายเลขแดงที่ 1957/2537 ของศาลอาญาในข้อร่วมกับพวกบุกรุกตึกแถวพิพาท และทำให้เสียทรัพย์โดยทุบทำลายส่วนต่าง ๆ ของตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหาย ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยเข้าไปครอบครองและทุบทำลายตึกแถวพิพาทได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 5 เมษายน 2539 และใบสำคัญคดีถึงที่สุดของศาลอาญาลงวันที่ 22 มีนาคม2539 ว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1957/2537 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแล้วโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง และคดีได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น คดีนี้จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญาจึงต้องใช้อายุความทางอาญาซึ่งยาวกว่ามาบังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งตามบทมาตราที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำผิดอาญานั้น มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินห้าปี จึงมีอายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ข้อเท็จจริงส่วนอาญาฟังได้ว่า เหตุเกิดระหว่างวันที่ 7 ตุลาคม 2534 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2534 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 6 ตุลาคม 2535จึงยังไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share