แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าได้มีการตกลงประนีประนอมในเรื่องเช็คทั้ง 23 ฉบับเสร็จสิ้นไปแล้ว กลับมาเบิกความว่าไม่ได้มีการประนีประนอม ซึ่งหากศาลในคดีก่อนฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลย อาจเป็นผลทำให้โจทก์ได้รับโดยในคดีอาญา ดังนี้ คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
การเบิกความเท็จอันจะเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,175, 177 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งประทับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 14395/2527 ของศาลแขวงธนบุรีว่า ไม่ได้มีการตกลงประนีประนอมเกี่ยวกับเรื่องเช็คทั้ง 23 ฉบับที่บริษัทเอสซีเซฟตี้เซนเตอร์ จำกัด ออกให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 อยู่ในที่ประชุมที่มีการตกลงประนีประนอม และจำเลยที่ 3 เป็นประธานที่ประชุม จึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องแรกว่า การเบิกความเท็จอันจะเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมาย(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 700/2506 ฎีกาของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ปัญหาต่อไปมีว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 จากที่ได้ความดังกล่าวแล้วจะถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้นเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 รู้อยู่แล้วว่าได้มีการตกลงประนีประนอมในเรื่องเช็คทั้ง 23 ฉบับเสร็จสิ้นไปแล้วกลับมาเบิกความว่าไม่ได้มีการประนีประนอม ซึ่งหากศาลแขวงธนบุรีฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยที่ 3จำเลยที่ 4 อาจเป็นผลทำให้โจทก์ได้รับโทษในคดีอาญาจึงถือได้ว่าคำเบิกความของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เป็นข้อสำคัญในคดี ดังนั้นฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4จึงมีมูล
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3จำเลยที่ 4 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย.