แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความกันได้ โจทก์ไม่อาจขอถอนฟ้อง หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ระหว่างฎีกา จึงไม่อนุญาติให้ถอนฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 นำใบรับเงินปลอมไปอ้างต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ได้รับตามใบรับเงินดังกล่าว เป็นการกระทำอันเป็นเหตุ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ว่าพนักงานสอบสวน จะเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม ใบรับเงินเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 264 เป็นการปรับบทลงโทษไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความ จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 แต่โจทก์ มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาคงมีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531ถึงเดือนตุลาคม 2531 วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองสารมารถส่งโจทก์ไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียแต่โจทก์ต้องเสียเงินให้จำเลยทั้งสอง55,000 บาท โจทก์หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลยทั้งสองแล้วไม่ได้ทำงานโจทก์แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง ต่อมาจำเลยทั้งสองปลอมเอกสารหลักฐานการรับเงินที่โจทก์ลงชื่อรับเงินค่าตรวจโรคและอื่น ๆ จำนวน 3,000 บาทแล้วจำเลยทั้งสองเติมตัวเลขเป็น 33,000 บาท และจำเลยที่ 1นำเอกสารปลอมดังกล่าวไปใช้อ้างต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้พนักงานสอบสวนเข้าใจว่าโจทก์ได้รับเงิน 33,000 บาท ตามเอกสารดังกล่าวขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 264,265, 268, 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องแต่ไม่ได้ตัวจำเลยที่ 2 มาพิจารณา ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ชั่วคราว
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 264 กระทงเดียวกัน จำคุก 1 ปี
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ระหว่างฎีกาโจทก์ยื่นฟ้องคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1ไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความกันได้โจทก์ไม่อาจถอนฟ้องหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคแรกจึงไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 รู้ว่าเอกสารใบรับเงินเป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 1 นำใบรับเงินไปอ้างต่อพนักงานสอบสวนเป็นการกระทำอันเป็นเหตุที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ว่าพนักงานสอบสวนจะเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม คดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ใบรับเงินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 264 จึงไม่ถูกต้อง และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ถูกต้องนั้น เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลฎีกาคงมีอำนาจที่จะปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น และเห็นควรกำหนดโทษใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 ให้จำคุก 1 ปีและปรับ 6,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30