คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4106/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายแล้วว่าจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่2โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายรวมหลายรายการคิดเป็นเงิน85,000บาทการที่จำเลยขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ในส่วนใดรถยนต์โจทก์จะได้รับความเสียหายตรงส่วนไหนบริเวณใดและได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาหาใช่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาซึ่งจะต้องบรรยายมาในคำฟ้องแต่อย่างใดไม่ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน5ร – 1246 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 11 – 6740 กรุงเทพมหานคร และเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2533 จำเลยที่ 1ขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2แล่นไปตามถนนพหลโยธิน เมื่อถึงที่เกิดเหตุเป็นทางสี่แยกมีสัญญาณไฟจราจร จำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทอย่างร้ายแรงได้ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง และฝ่าสัญญาณไฟแดงเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ซึ่งมีจ่าอากาศเอกปรีชา ทิพย์มณฑา เป็นผู้ขับทำให้ได้รับความเสียหายหลายรายการคิดเป็นค่าเสียหาย 85,000 บาท จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเหตุที่เกิดเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แต่กลับเพิกเฉย ขอบังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นเงิน 87,125 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 85,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนับพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่มีข้อความอันใดที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใดอะไรบ้างขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขอให้เรียกบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เนื่องจากเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าเสียหายอะไร เสียหายอย่างไร ทำให้จำเลยร่วมไม่สามารถต่อสู้คดีเกี่ยวกับค่าเสียหายของรถโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย85,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 2,125 บาท
จำเลยร่วม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยร่วม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ในส่วนใด รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายตรงไหน อย่างไร ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมเห็นว่า เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายแล้วว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายรวมหลายรายการคิดเป็นเงิน85,000 บาท การที่จำเลยขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์ในส่วนใด รถยนต์โจทก์จะได้รับความเสียหายตรงส่วนไหน บริเวณใดและได้รับความเสียหายอย่างไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ว่าชั้นพิจารณา หาใช่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาซึ่งจะต้องบรรยายมาให้คำฟ้องแต่อย่างใดไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share