แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำร้ายเจ้าพนักงานและฆ่าคนตายโดยเจตนาฟ้องก่อน พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2496 ออกใช้บังคับ
ศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ยกฟ้องโดยเห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง(ฟ้องว่าเหตุเกิดเวลากลางวัน ทางพิจารณาได้ความว่าเวลากลางคืน) ศาลทหารกลางเห็นว่าข้อต่อสู้และการนำสืบของจำเลยแสดงได้ชัดว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ซึ่งตาม พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2496 มาตรา 100 มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่
ดังนี้แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลทหารกลางแต่อย่างใดในชั้นนั้นเมื่อศาลมณฑลทหารบกที่ 7 พิจารณาใหม่แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยและศาลทหารกลางพิพากษายืนดังนี้ จำเลยจะคัดค้านขึ้นมาในชั้นฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องก็ได้เพราะปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเมื่อศาลทหารกลางพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่นั้น คดีก็ยังไม่ถึงที่สุดคู่ความหรือศาลย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างได้
พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่ 5)พ.ศ.2496 มาตรา 100นี้ ใช้บังคับแก่ฟ้องที่ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดขึ้นภายหลังวันใช้บังคับเท่านั้นจะนำเอากฎหมายที่ออกใช้ภายหลังมาลงโทษจำเลยไม่ได้และกฎหมายใหม่ในกรณีเช่นนี้หาอาจไปแก้ไขฟ้องที่ไม่ถูกต้องให้เป็นการถูกต้องขึ้นได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นทหารกองประจำการสังกัดเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 7 ได้ใช้มีดซุยแทง ส.ต.ต.อนันต์ เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่และแทงพลตำรวจภูธรสุทัศน์ตายโดยเจตนา ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 120, 249, 250, 254, 70 และ 71
จำเลยต่อสู้ว่า ส.ต.ต.อนันต์และพลสุทัศน์และพวกกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย จำเลยจึงแทงเพื่อป้องกันตัว
ศาลมณฑลทหารบกที่ 7 เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดวันที่ 10 พฤศจิกายน 2494 เวลากลางวัน ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดเวลากลางคืนประมาณ 22.00 น. หรือ 23.00 น. ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 โดยไม่จำต้องชี้ขาดข้อเท็จจริงต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลทหารกลางเห็นว่า ตามข้อต่อสู้และการนำสืบของจำเลยแสดงได้ชัดว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ซึ่งตามมาตรา 100 แห่ง พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2496 มิให้คือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
ศาลมณฑลทหารบกที่ 7 พิจารณาใหม่และวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดจริงดังฟ้อง พิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 120วรรค 2 กระทงหนึ่ง 2 ปี และตามมาตรา 249 อีกกระทงหนึ่ง 16 ปี รวม 2 กระทงเป็น 18 ปี ปรานีตามมาตรา 59 เสีย 1 ใน 4 คงจำ 13 ปี 6 เดือน มีดของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคัดค้านในข้อกฎหมายว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลทหารกลางวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อนี้ (ข้อกฎหมาย) ศาลทหารกลางได้พิพากษาไว้แล้ว (ตามคำพิพากษาคดีแดงที่ 47/2496) ว่าไม่เป็นเหตุให้ศาลเดิมยกฟ้อง จำเลยจะอุทธรณ์ในประเด็นเดียวกับที่ได้พิพากษาไปแล้วไม่ได้ ส่วนข้อเท็จจริงเห็นพ้องตามศาลมณฑลทหารบกที่ 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งในปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวกับเวลากระทำผิดในฟ้องว่าเป็นเวลากลางวัน แต่ทางพิจารณาได้ความเป็นเวลากลางคืน ศาลควรยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 ส่วนข้อเท็จจริงต่อสู้ว่าป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดในเวลากลางวันแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าเหตุเกิดในเวลากลางคืนประมาณ 22.00 หรือ 23.00 น.ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ปัญหาข้อกฎหมายจึงเกิดขึ้น 2 ข้อ คือ
(1) เมื่อศาลมณฑลทหารบกที่ 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเหตุนี้แล้ว โจทก์อุทธรณ์และศาลทหารกลางวินิจฉัยว่า กรณีต้องนำเอามาตรา 100 พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2496 มาใช้บังคับ จึงให้ยกคำพิพากษาศาลมณฑลทหารบกที่ 7 ให้พิจารณาพิพากษาใหม่และจำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลทหารกลางอย่างใดในชั้นนั้น เมื่อศาลทหารบกที่ 7 พิจารณาใหม่แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยและศาลทหารพิพากษายืนดังนี้แล้ว จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อนี้ได้หรือไม่
(2) ถ้าจำเลยฎีกาได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยไว้แล้วก่อนพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2496 ออกใช้บังคับศาลจะนำเอามาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารนั้นมาใช้ในการพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่
ในปัญหาข้อ (1) นั้นเห็นว่าเมื่อศาลทหารกลางพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลมณฑลทหารพิจารณาพิพากษาใหม่ คดีนี้ยังหาได้ถึงที่สุดประการใดไม่ และข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย คู่ความหรือศาลย่อมยกขึ้นกล่าวอ้างได้ไม่ว่าในขณะใด ตราบที่คดียังไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรค 2
ส่วนปัญหาข้อ (2) นั้น เห็นว่าศาลหาอาจนำมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2496 มาบังคับแก่คดีนี้ได้ไม่เพราะจะเป็นการนำเอากฎหมายที่ออกใช้ภายหลังมาลงโทษ ซึ่งได้ฟ้องไว้ก่อนแล้ว และฟ้องของโจทก์ที่ผิดจากข้อเท็จจริงไปนั้นเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องซึ่งเกิดก่อนพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2496 พระราชบัญญัติฉบับนี้จะใช้บังคับได้ก็แต่ฟ้องที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นภายหลังวันใช้บังคับกฎหมายเท่านั้น กฎหมายใหม่ในกรณีเช่นนี้หาควรแก้ไขฟ้องที่ไม่ถูกต้องให้เป็นการถูกต้องขึ้นได้ไม่
พิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลย