คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์อ้างว่า ตนมีส่วนในที่ดินมากกว่าจำเลยซึ่งมีชื่อในโฉนดด้วยกันนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธินำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานส่วนเท่ากัน ในความเป็นเจ้าของได้ หากหลักฐานในสำนวนยังไม่พอฟังดังข้ออ้างของโจทก์ ศาลไม่ควรสั่งงดสืบพยานเสียทั้ง ๆ ที่โจทก์กำลังทำการสืบอยู่ มิฉะนั้น ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยที่ ๑ มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน ๑ แปลง แต่เป็นของโจทก์ประมาณ ๓๑ ไร่เศษ ของจำเลยประมาณ ๔ ไร่เศษโดยปกครองกันเป็นส่วนสัด แต่ยังมิได้แบ่งแยกกัน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เช่าที่ดินส่วนของจำเลยที่ ๑ ได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ส่วนของโจทก์ ขอให้ห้ามและแย่งแยกที่ดิน กับเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ของโจทก์ ๒ ส่วน ของจำเลย ๑ ส่วน การครอบครองไม่เป็นส่วนสัด เมื่อสืบตัวโจทก์ไม่ทันจบปากศาลสอบถึงเอกสาร ทั้งโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบเรื่องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้ง ๒ ฝ่าย พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีกรรมสิทธิเพียง ๓ ไร่ ๓๒ วา ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินนอกเขตนี้ และให้แบ่งแยก
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามทะเบีนไม่ปรากฏว่า ผู้ใดมีส่วนมากน้อยกว่ากัน ต้องถือว่ามีส่วนคนละเท่า ๆ กัน ที่โจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ มี ๑ ใน ๓ แต่โจทก์ไม่สืบก็ต้องแพ้คดี พิพากากับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ชื่อในโฉนดจะมีปรากฏอยู่ ๓ คนก็ดีโจทก์ก็ย่อมสืบหักล้างข้อสันนิษฐานว่า ความจริงมีอยู่ไม่เท่ากันนั้นได้ คดีนี้โจทก์ก็กำลังทำการสืบ แสดงว่าเช่นว่านั้น หากศาลเห็นว่า พยานเอกสารที่คู่ความรับกันนั้นฟังได้ตามข้ออ้างแล้ว จึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสีย เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยนหลักฐานในท้องสำนวนเท่าที่มียังไม่พอฟังหักล้างข้อสันนิษฐานส่วนเท่ากันในความเป็นเจ้าของได้ ก็ชอบจะให้โอกาสโจทก์ดำเนินคดีสืบพยานต่อไป รูปคดีจะต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์ก่อน
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง ๒ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาต่อไป และพิพากษาใหม่

Share