แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 9 และมาตรา 10 เฉพาะกรณีที่พนักงานอัยการซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 6(5) เป็นผู้ร้องขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิจารณาสั่งคำร้องได้ แต่หากเป็นบุคคลตามมาตรา 6(1) ถึง (4) เป็นผู้ร้องศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจที่จะสั่งรับคำร้องให้ดำเนินคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่หรือยกคำร้องเลย ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ดำเนินการตามมาตรา 9 วรรคสอง ทำการไต่สวนคำร้อง หรือหากเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยมาตรา 5 จะไม่ทำการไต่สวนก็ได้ แต่ศาลชั้นต้นมีสิทธิเพียงทำความเห็นเสนอสำนวนการไต่สวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเท่านั้น และเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยโดยมิได้ทำความเห็นส่งไปให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง และเมื่อผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วศาลอุทธรณ์พิพากษาเห็นด้วยในผลที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ย่อมถือว่าศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ชอบตามมาตรา 9 และมาตรา 10
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเกอมิท ซิง จาสวาล ผู้ร้องเป็นจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 คดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง และมาตรา 65 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 การกระทำของผู้ร้องเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ฐานส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ผู้ร้องให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 และมาตรา 52 จำคุกตลอดชีวิตให้ริบของกลาง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5670/2538 ของศาลชั้นต้น
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2541 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดแสดงว่าผู้ร้องไม่ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2543 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่อีก โดยอ้างเหตุว่าพยานบุคคลของโจทก์เบิกความเท็จในทำนองปรักปรำผู้ร้องโดยปราศจากมูลความจริงทั้งพยานเอกสารก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บัดนี้ผู้ร้องมีพยานใหม่ที่จะนำสืบให้เห็นว่าพยานโจทก์เป็นพยานเท็จอย่างไร และคำรับสารภาพของผู้ร้องในชั้นจับกุมก็เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่อ้างเหตุผลสรุปได้ว่า พยานบุคคลที่โจทก์นำมาสืบเป็นพยานเท็จเบิกความปรักปรำผู้ร้อง พยานเอกสารต่าง ๆ มีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ของกลางในคดีไม่ใช่เฮโรอีนและคำร้องอ้างด้วยว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่ที่จะนำมาสืบว่าพยานโจทก์ที่เบิกความไปแล้วเบิกความเท็จอย่างไร ของกลางเป็นผงวิตามินบี 12 ไม่ใช่เฮโรอีน โดยผู้ร้องได้ยื่นบัญชีระบุพยานมาด้วยว่ามีพยานบุคคล 7 คน พยานเอกสาร 1 ฉบับ แต่ผู้ร้องไม่ได้บรรยายมาในคำร้องให้ละเอียดชัดแจ้งว่าพยานบุคคลแต่ละคนเป็นพยานใหม่อันชัดแจ้งอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร กล่าวคือไม่ได้ระบุว่าพยานบุคคลแต่ละคนเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร มีตำแหน่งหน้าที่การงานหรือไม่ อย่างไร จะมาเบิกความในเรื่องใดที่พอจะให้เห็นได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญในคดี ซึ่งถ้าได้นำมาสืบแล้วจะแสดงได้ว่าผู้ร้องไม่ได้กระทำความผิดคดีนี้ ผู้ร้องยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ครบถ้วนตามที่พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5(3), 8 วรรคสอง คำร้องของผู้ร้องจึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลไม่อาจรับคำร้องไว้ทำการไต่สวนต่อไปได้ มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่พ.ศ. 2526 มาตรา 18 บัญญัติว่า “คำร้องเกี่ยวกับผู้ต้องรับโทษอาญาคนหนึ่งในคดีหนึ่งให้ยื่นได้เพียงครั้งเดียว” ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามสำนวนว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2541 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องประการใด คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดไปแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาคดีนี้ขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้อีก ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยในผล พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่พ.ศ. 2526 มีเจตนารมณ์ที่จะให้ความยุติธรรมแก่บุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดมีสิทธิขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ภายหลัง หากปรากฏหลักฐานขึ้นใหม่ว่าบุคคลนั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด และกำหนดให้มีสิทธิที่จะได้รับค่าทดแทนและได้รับบรรดาสิทธิที่เสียไปเพราะผลแห่งคำพิพากษานั้นคืน หากปรากฏตามคำพิพากษาของศาลที่พิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ว่าบุคคลผู้นั้นมิได้กระทำความผิด ทั้งนี้บุคคลผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดีดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 8 โดยคำร้องต้องเป็นไปตามหลักเงื่อนไขในมาตรา 5 แต่การที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาคดีที่ร้องขอให้รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ตามคำร้องของผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดได้หรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “ให้ศาลที่ได้รับคำร้องทำการไต่สวนคำร้องนั้นว่ามีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่ เว้นแต่ในกรณีที่พนักงานอัยการเป็นผู้ร้อง ศาลจะไต่สวนคำร้องหรือไม่ก็ได้ ถ้าเห็นว่าไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้อง ก็ให้ศาลสั่งรับคำร้องและดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป คำสั่งของศาลในกรณีเช่นนี้ให้เป็นที่สุด” มาตรา 9 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในการไต่สวนคำร้องตามวรรคหนึ่งให้ศาลส่งสำเนาคำร้องและแจ้งวันนัดไต่สวนไปให้โจทก์ในคดีเดิมทราบ ในกรณีที่โจทก์ในคดีมิใช่พนักงานอัยการ ให้ส่งสำเนาคำร้องและแจ้งวันนัดไต่สวนให้พนักงานอัยการทราบด้วย พนักงานอัยการและโจทก์ในคดีเดิมจะมาฟังการไต่สวนและซักค้านพยานของผู้ร้องด้วยหรือไม่ก็ได้ ผู้ร้องและโจทก์ในคดีเดิมมีสิทธิแต่งทนายแทนตนได้” และมาตรา 9 วรรคสาม บัญญัติว่า “เมื่อได้ไต่สวนคำร้องแล้ว ให้ศาลที่ไต่สวนคำร้องส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้า” มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนการไต่สวนและความเห็นแล้ว ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับคำร้องและสั่งให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น” มาตรา 10 วรรคสองบัญญัติว่า “คำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด” ตามบทบัญญัติมาตรา 9 และมาตรา 10 ดังกล่าวนี้ เห็นได้ว่าเฉพาะพนักงานอัยการซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 6(5) เป็นผู้ร้องขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิจารณาสั่งคำร้องได้ โดยหากมีคำสั่งรับคำร้องให้ดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่แล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นที่สุดตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง แต่หากเป็นบุคคลตามมาตรา 6(1) ถึง (4) เป็นผู้ร้องแล้วศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจที่จะสั่งรับคำร้องให้ดำเนินคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่หรือยกคำร้องเลย ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ดำเนินการตามมาตรา 9 วรรคสอง ทำการไต่สวนคำร้อง หรือหากเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยมาตรา 5 จะไม่ทำการไต่สวนก็ได้ แต่ศาลชั้นต้นมีสิทธิเพียงทำความเห็นเสนอสำนวนการไต่สวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเท่านั้น และการจะสั่งรับคำร้องให้พิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่หรือสั่งให้ยกคำร้องนั้นเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ ซึ่งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่สุดตามมาตรา 10 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ร้องเสียเองโดยมิได้ทำความเห็นส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณามีคำสั่งดังกล่าว และเมื่อผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาเห็นด้วยในผลที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง โดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องร้องขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่สองครั้งเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 18 ก็ตามแต่เห็นได้ว่าศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องของผู้ร้องไม่ชอบ ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 9 และมาตรา 10″
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 29 มิถุนายน 2543 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไปแล้ว ทำความเห็นส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งตามรูปคดีต่อไป