แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง ตามสัญญาและข้อบังคับของจำเลยมิได้มีข้อกำหนดว่า พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิงจะทำการสมรสมิได้ หรือหากตั้งครรภ์ต้องออกจากงาน การที่จำเลยได้ออกข้อบังคับในเวลาต่อมาว่า พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง เมื่อตั้งครรภ์แล้วให้ออกจากงาน เป็นการเพิ่มเหตุให้ออกจากงาน ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างในตำแหน่งนี้จำเลยออกข้อบังคับมาเองโดยมิได้มีข้อเรียกร้องของฝ่ายใด จึงไม่อาจใช้บังคับได้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 เมื่อระหว่างเป็นลูกจ้างในตำแหน่งดังกล่าว โจทก์ทำการสมรสและต่อมาตั้งครรภ์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ตั้งครรภ์ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชยให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม หากไม่รับกลับเข้าทำงานก็ให้จ่ายค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ตามสัญญาจ้าง จะครบสัญญาจ้างเมื่อโจทก์มีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ อันเป็นสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาและมีคุณสมบัติอันสำคัญคือต้องเป็นโสด ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จำเลยได้แก้ไขข้อบังคับว่า อนุญาตให้ทำการสมรสได้เมื่อได้รับการบรรจุมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ปี โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อตั้งครรภ์ให้ออกจากงาน โจทก์สมรสเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ต่อมาโจทก์ตั้งครรภ์ต้องลาออกจากงานตามข้อบังคับเมื่อโจทก์เพิกเฉยจำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยหรือเงินประเภทใด ๆ จากจำเลยเพราะเป็นการเลิกจ้างตามสัญญาและข้อบังคับมิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยประกาศรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง จำเลยก็ได้กำหนดคุณสมบัติว่าต้องเป็นโสด เมื่อโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยตามสัญญาจ้าง ก็มีข้อบังคับบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ว่าด้วยพนักงานและการทำงาน พ.ศ. ๒๕๒๐ ใช้บังคับอยู่ก่อนแล้ว การที่จำเลยแก้ไขข้อบังคับ (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ลูกจ้างออกจากงานเมื่อตั้งครรภ์ แทนที่จะให้ออกเมื่อทำการสมรสจึงเป็นคุณแก่โจทก์จึงใช้บังคับได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ตามประกาศบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด เรื่อง รับสมัครพนักงาน ตามเอกสารหมายเลข ๓ ท้ายคำให้การได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ในข้อ ๒ ว่า ผู้สมัครต้องเป็นโสดก็ตาม แต่เมื่อจำเลยรับโจทก์เป็นลูกจ้างโดยได้ทำสัญญากันไว้ตามสัญญาเพื่อทำงานกับบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิงลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๑ เอกสารหมายเลข ๒ ท้ายคำให้การ และข้อบังคับของบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ว่าด้วยพนักงานและการทำงาน พ.ศ. ๒๕๒๐ ก็มิได้มีข้อกำหนดว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิงจะทำการสมรสมิได้ หรือหากทำการสมรสจะต้องถูกออกจากงาน ทั้งตามข้อบังคับดังกล่าวในข้อ ๔๒.๑ เรื่องการสั่งให้ออกจากงาน ข้อ ๔๒.๒ การสั่งปลดออกจากงาน หรือข้อ ๔๒.๓ การสั่งไล่ออกจากงาน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็มิได้มีข้อกำหนดว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิงเมื่อตั้งครรภ์ต้องออกจากงานด้วย ดังนั้น ที่จำเลยได้ออกข้อบังคับบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ว่าด้วยพนักงานและการทำงาน (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๒๕ ข้อ ๔ ให้เพิ่มความเป็นข้อ ๔๑.๑.๙ ในข้อ ๔๑.๑ ของข้อบังคับบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ว่าด้วยพนักงานและการทำงาน พ.ศ. ๒๕๒๐ แก้ไขโดยข้อบังคับบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ว่าด้วยพนักงานและการทำงาน (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นว่า “๔๑.๑.๙ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง เมื่อตั้งครรภ์แล้วให้ออกจากงาน ยกเว้นผู้มีความประพฤติดีและมีความรู้ความสามารถตามที่บริษัทฯ ต้องการ บริษัทฯ จะพิจารณาย้ายให้ไปปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ว่างตามความเหมาะสมและให้ได้เงินเดืนตามเกณฑ์และเงื่อนไขของบริษัทถ้าไม่มีตำแหน่งว่างก็ต้องออกไป” การเพิ่มเหตุให้ออกจากงานตามข้อนี้จึงไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิงแต่อย่างใด เมื่อจำเลยได้ออกข้อบังคับข้อนี้มาเองโดยมิได้มีข้อเรียกร้องของฝ่ายใด เช่นนี้ จึงไม่อาจใช้บังคับได้ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้
พิพากษายืน