คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4083/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 50(1) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นบัญญัติให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยวิธีคูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีเท่าใดให้หาร ด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักภาษีไว้เท่านั้น ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินคำนวณภาษีโดยใช้สูตร สำเร็จของกรมสรรพากรตามคำสั่งของกรมสรรพากรที่ ป.2/2526 ซึ่งระบุวิธีคำนวณแตกต่างไปจากบทบัญญัติดังกล่าวและได้ตัวเลขแตกต่างกันโดยไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้การประเมินโดยวิธีการตามคำสั่งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาที่ว่าโจทก์ร้องขอให้กรมสรรพากรคืนเงินภาษีที่ชำระเกินไปคืนเมื่อพ้นกำหนด 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งได้ถูกหักภาษีเกินไปหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การขอคืนเงินภาษีอากรที่ได้ชำระเกินไปคืนตามประมวลรัษฎากรมาตรา 63 นั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินภาษีอากรแล้วโจทก์ก็ไม่จำต้องร้องขอต่อเจ้าพนักงานประเมินแต่โจทก์มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป ตามบทมาตราดังกล่าวได้ ดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์การประเมินภาษีอากรขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกการประเมิน และให้เครดิตภาษีตามจำนวนที่โจทก์ชำระเกินไปในปี พ.ศ. 2526 ให้โจทก์และจำเลยได้รับอุทธรณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 จึงเป็นการร้องขอให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2526 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไปแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าภาษีอากรที่ชำระเกินคืน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ให้โจทก์เสียภาษีและเงินเพิ่มรวม ๒,๒๓๔,๐๖๔.๒๘ บาท โดยอ้างว่าโจทก์จ่ายค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์อันเป็นประโยชน์เพิ่มแก่นายเอฟ.ซี.ปลังเกตต์แต่โจทก์มิได้ทำประโยชน์เพิ่มไปรวมเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ นอกจากนี้ยังอ้างว่าโจทก์ได้ออกเงินค่าภาษีให้แก่บุคคลดังกล่าวและนำมารวมคำนวณภาษี แต่ทำส่งไว้ไม่ถูกต้อง และการที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีโดยคำนวณตามวิธีสูตรสำเร็จของจำเลยแบบทศนิยมไม่รู้จบก่อนที่จะมีพระราชกำหนดแก้ไขประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๒๗เป็นการไม่ชอบ โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วย เพราะแม้จะนำเงินค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์มารวมคำนวณแล้วก็ยังปรากฏว่าโจทก์ชำระค่าภาษีเกินไป ๗๔๗,๔๖๕.๑๖ บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายถือหลักปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.๒/๒๕๒๖ ข้อ ๒(๑) และโดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๐(๑) ทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มพร้อมทั้งเงินเพิ่มการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๗๔๗,๔๖๕.๑๔ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่า การประเมินโดยใช้สูตรสำเร็จของกรมสรรพากรตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.๒/๒๕๒๖ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา ๕๐(๑) ที่ใช้บังคับอยู่ในปีภาษี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ บัญญัติให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐(๑) ที่พิพาทกันในคดีนี้หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินโดยวิธีคูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีแล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา ๔๘ เป็นเงินภาษีเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่ต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินค่าภาษีไว้เท่านั้น การคำนวณภาษีจึงต้องคำนวณตามวิธีการดังกล่าวการที่เจ้าพนักงานประเมินคำนวณโดยใช้สูตรสำเร็จของกรมสรรพากรตามคำสั่งของกรมสรรพากรที่ ป.๒/๒๕๒๖ นั้น ไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ การที่กรมสรรพากรมีคำสั่งระบุวิธีปฏิบัติผิดแผกไปจากที่มาตรา ๕๑(๑) บัญญัติไว้ ซึ่งการคำนวณตามคำสั่งดังกล่าวก็ได้ตัวเลขแตกต่างกัน การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์โดยอาศัยวิธีการตามคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะได้รับเงินค่าภาษีอากรคืนหรือไม่นั้น ปัญหานี้จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ยื่นคำฟ้องขอเรียกคืนภาษีพ้นกำหนด ๓ ปี จึงหมดสิทธิที่จะได้รับเงินค่าภาษีที่ชำระเกินคืน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๓ นั้น ปัญหานี้แม้จำเลยจะเพิ่งกล่าวอ้างมาในชั้นอุทธรณ์ แต่ก็เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ ปรากฏตามคำอุทธรณ์ของโจทก์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์นำส่งภาษีเกินไปเจ็ดแสนบาทเศษ ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกการประเมินและให้เครดิตภาษีที่โจทก์ชำระเกินไปจำนวนดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยได้รับเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เห็นได้ว่าโจทก์ร้องขอให้จำเลยคืนเงินภาษีภายใน ๓ ปี นับแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๖ อันเป็นการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๖๓ แล้ว เพราะเมื่อโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินแล้ว โจทก์ก็ไม่จำต้องร้องขอต่อเจ้าพนักงานประเมินอีกต่อไป และมีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนด ๓ ปี ตามมาตรา ๖๓ ได้โจทก์จึงหาได้หมดสิทธิที่จะได้รับเงินค่าภาษีที่ได้ชำระเกินคืนไม่
พิพากษายืน.

Share