แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มูลคดีนี้ มีข้อเท็จจริงเดียวกับมูลคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีฟ้องจำเลยนี้ในคดีอาญาข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่า จำเลยกับผู้ตายต่างสมัครใจทะเลาะวิวาทกัน คดีนี้ศาลจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏในคดีส่วนอาญาว่า ขณะผู้ตายวิ่งขึ้นจากสระน้ำมาทะเลาะวิวาทกับจำเลย ผู้ตายมีอาวุธปืนด้วย เช่นนี้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงเกินเลยไปจากที่ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อผู้ตายและโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาท จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสี่
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 12,446,630.13 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 220,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ ชำระเงิน 1,000,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ชำระเงิน 100,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 และชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ที่ 4 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด (วันที่ 19 เมษายน 2538) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไชยยา ส่วนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไชยยากับโจทก์ที่ 1 จำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของนายไชยยา เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2538 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายไชยยา เป็นเหตุให้นายไชยยาถึงแก่ความตาย พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4445/2538 โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยผิดกฎหมาย จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 15 ปี 3 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี 2 เดือน ริบของกลาง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4278/2543 โจทก์ที่ 1 และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ที่ 1 และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 เฉพาะข้อหาความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยผิดกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7956/2551
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่หรือไม่ เห็นว่า มูลคดีนี้ก็คือมูลคดีเกี่ยวกับที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีฟ้องจำเลยในคดีอาญาข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ดังนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7956/2551 ว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายเป็นพี่ชายจำเลย และทั้งสองคนมีอาชีพทำสวน แต่ทั้งสองฝ่ายมีเหตุกระทบกระทั่งระหองระแหงบาดหมางกันเกี่ยวกับที่ดินมรดกและสระน้ำบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งใช้น้ำในการทำสวนทุเรียนร่วมกันนานแรมปี วันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุยิงกัน ผู้ตายกับจำเลยตะโกนโต้เถียงกันเกี่ยวกับเครื่องสูบน้ำและน้ำในสระน้ำ ระหว่างนั้นจำเลยได้พูดขึ้นว่า มึงแน่จริงขึ้นมาเจอกับกู ผู้ตายจึงวิ่งขึ้นจากสระน้ำ ส่วนจำเลยวิ่งอ้อมมาตามถนนริมสระน้ำ หลังจากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด พฤติการณ์ส่อแสดงว่าจำเลยกับผู้ตายต่างสมัครใจทะเลาะวิวาทกัน คดีนี้ศาลจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวว่า จำเลยกับผู้ตายต่างสมัครใจทะเลาะวิวาทกัน แต่ข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาไม่ปรากฏว่า ขณะผู้ตายวิ่งขึ้นจากสระน้ำมาทะเลาะวิวาทกับจำเลยนั้น ผู้ตายมีอาวุธปืนอยู่ด้วย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงเกินเลยไปจากที่ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อผู้ตายและโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าทำละเมิดต่อผู้ตาย โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท