แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาแต่แรกที่จะขายแผ่นซีดีภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย กรณีเป็นเรื่องที่ผู้แทนผู้เสียหายชักจูงใจหรือก่อให้จำเลยกระทำผิด จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย การแจ้งความร้องทุกข์จึงไม่ชอบ ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดี ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 31, 70, 75 และ 76 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 6, และ 34 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และ 91 ให้แผ่นวิดีโอซีดี จำนวน 110 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 31, 70, 75 และ 76 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือน และปรับ 51,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ทั้งให้ความรู้ต่อศาลเป็นประโยชน์ทางพิจารณาอยู่บ้าง สมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน และปรับ 34,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยในการประพฤติตนให้ดีงาม โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ให้แผ่นวิดีโอซีดีภาพยนตร์ของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวน 110 แผ่น ตกเป็นของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ค่าปรับเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 และให้จ่ายค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ข้อหานอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า เนื่องจากคดีนี้ผู้เสียหายเลือกที่จะแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาต่อจำเลย จึงตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายในการดำเนินคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ซึ่งให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้น โจทก์นอกจากจะต้องนำสืบพิสูจน์การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องแล้ว โจทก์ต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้เสียหายคดีนี้เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายด้วย การแจ้งความร้องทุกข์จึงจะชอบด้วยกฎหมาย อันมีผลให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้เป็นมั่นคงว่า จำเลยมีเจตนาแต่แรกที่จะขายแผ่นซีดีภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย และอาจเป็นกรณีที่นางอชินีขอให้จำเลยไปหาซื้อแผ่นซีดีภาพยนตร์ของกลางจากตลาดนัดมาให้ตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้ก็เป็นได้ เพราะจำเลยได้ให้การถึงกรณีที่มีคนสั่งให้ตนซื้อแผ่นซีดีภาพยนตร์ของกลางมาตั้งแต่ต้น ตามที่ปรากฏในบันทึกคำให้การซึ่งได้จัดทำขึ้นในวันเกิดเหตุนั่นเอง ทั้งจำเลยได้ถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับนางน้อยมาโดยตลอด น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าเป็นกรณีที่ฝ่ายผู้เสียหายได้ชักจูงใจหรือก่อให้จำเลยกระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ตามฟ้อง และไม่อาจถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายการแจ้งความร้องทุกข์จึงไม่ใช่การแจ้งความร้องทุกข์ตามกฎหมาย ทำให้การสอบสวนไม่ชอบและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ซึ่งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 38 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 และมาตรา 142 (5) ที่ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งสิ้น.