แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 4 ผู้ฎีกาจะไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ แต่หนี้ของจำเลยทั้งสี่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยร่วมคนอื่นยกข้อต่อสู้ไว้ จำเลยที่ 4 จึงได้รับผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 59(1) ที่ให้ถือว่าเป็นการทำแทนจำเลยที่ 4 ด้วย
จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงิน ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ฯมาตรา 30(2) ไม่ตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654ข้อกฎหมายดังกล่าวศาลรู้ได้เองโดยโจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 52,559,178.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 30,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 30,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 55160 และ 63679 ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 4 นำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 30,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 16.5 บาทต่อปี ครบกำหนดเมื่อทวงถามตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.14 มีจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินเป็นหลักประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.15, จ.16 และสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.17 คดีสำหรับจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ถึงที่สุดไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าต้องร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยโดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อุทธรณ์คงมีแต่เฉพาะจำเลยที่ 4 เท่านั้นที่อุทธรณ์และฎีกาต่อมา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยที่ 4 จะไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ คงมีแต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อสู้ไว้ แต่เนื่องจากหนี้ของจำเลยทั้งสี่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1) บัญญัติว่า ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกันในบรรดากระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยหรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่งนั้นให้ถือว่าได้ทำโดยหรือต่อคู่ความร่วมคนอื่น ๆ ด้วย เว้นแต่กระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมสิทธิแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ดังนั้น การยกอายุความขึ้นต่อสู้ของจำเลยที่ 1และที่ 3 จึงถือได้ว่าเป็นการทำแทนจำเลยที่ 4 ด้วย ข้อพิจารณาต่อไปมีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทกำหนดวันชำระเงินเมื่อทวงถามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 913(3) ประกอบกับมาตรา 985ซึ่งอายุความจะเริ่มนับก็ต่อเมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิทวงถามจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ออกตั๋วแล้วเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 ส่วนการทวงถามจำเลยที่ 2 ได้ประกาศทางหนังสือพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.8 ตามลำดับเมื่อ พ.ศ. 2539 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปีเดียวกัน จึงอยู่ภายในกำหนดอายุความ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ฎีกาของจำเลยที่ 4ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีหรือไม่ หรือมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ 7.5 เท่านั้น โดยจำเลยที่ 4 ฎีกาว่าโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวตามพระราชบัญญัติอะไร ฉบับไหน ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 4 ยอมรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินใช้ชื่อว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 30(2) ไม่ตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 ข้อกฎหมายดังกล่าวศาลรู้ได้เองโดยโจทก์ไม่ต้องสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ทั้งจำเลยที่ 4 ก็ไม่ได้การต่อสู้ว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดไปจากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ตามที่ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงิน ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 4ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน