คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4068/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.รัษฎากร ไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้เจ้าพนักงานประเมินแก้ไขการประเมินที่ผิดพลาดใหม่ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการประเมินใหม่โดยยกเลิกการประเมินครั้งก่อน แม้การประเมินที่ผิดพลาดดังกล่าวจะอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกเลิกการประเมินและเจ้าพนักงานประเมินได้ยกเลิกการประเมินครั้งแรกแล้ว ต้องถือเสมือนว่าไม่มีการประเมินและในการประเมินครั้งใหม่ เจ้าพนักงานประเมินก็มิได้ประเมินในเรื่องอื่นนอกเหนือไปจากการประเมินครั้งแรก แต่เป็นการคำนวณเงินได้สุทธิ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มของโจทก์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อการประเมินครั้งใหม่ทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียงครั้งเดียว จึงไม่เป็นการประเมินซ้ำซ้อนหรือทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซ้ำซ้อนแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ยกเลิกการประเมินตามหนังสือประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้งดหรือลดค่าปรับและเงินเพิ่มตามฟ้อง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกมีว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2542 สำหรับเงินได้จากการเลี้ยงไก่ไข่ต่อจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้น บัญญัติว่า ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี แต่ถ้าภาษีค้างชำระและภริยาได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันแล้ว ให้ภริยาร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเองหรือเป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของโจทก์ในฐานะสามี แต่จากแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2542 สำหรับผู้มีเงินได้ทั่วไป เป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนางผ่องศรี ภริยาโจทก์ รายการการสมรสและการยื่นรายการระบุว่า ผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจดทะเบียนสมรสปี 2526 คู่สมรสไม่มีเงินได้ รายการเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) เงินได้จากการเลี้ยงไก่ไข่ 1,926,670 บาท ซึ่งโจทก์ยอมรับในคำฟ้องอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีในนามของตนเอง ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติได้ว่า โจทก์ไม่ได้มอบหมายให้ภริยาโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2542 แทนโจทก์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือโจทก์ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2542 ในนามของโจทก์ การที่ภริยาโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของภริยาเองจากเงินได้ที่มาจากการเลี้ยงไก่ไข่ และจำเลยรับเอาเงินภาษีที่ภริยาโจทก์ชำระไปนั้นจะถือว่าภริยาโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแทนโจทก์ดังที่โจทก์อุทธรณ์หาได้ไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อที่สองมีว่า โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คที่โจทก์นำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากของโจทก์ได้ เนื่องจากโจทก์ถูกหลอกลวงจากผู้มีชื่อมาขอกู้เงินและนำเช็คมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ โดยก่อนถึงวันกำหนดเรียกเก็บเงินตามเช็คผู้มีชื่อจะทำให้เช็คที่โจทก์รับมาสามารถเรียกเก็บเงินได้ ด้วยวิธีการขอเพิ่มยอดหนี้และนำเงินที่ได้รับเพิ่มไปฝากเข้าบัญชี และทุกครั้งที่โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คได้จะมีการถอนเงินในบัญชีของโจทก์ออกไปจำนวนมากกว่าที่เรียกเก็บเข้ามาทุกครั้งนั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างในประเด็นนี้ว่า โจทก์รับซื้อเช็คจากบุคคลภายนอกจริง แต่เช็คที่บุคคลภายนอกนำมาขายลดให้โจทก์นั้นไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ เนื่องจากเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้โจทก์ยื่นฟ้องเจ้าของเช็คเป็นคดีแพ่งของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา การที่เจ้าพนักงานประเมินนำตัวเลขตามเช็คที่โจทก์นำเข้าบัญชีแล้วเรียกเก็บเงินไม่ได้มากำหนดเป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์จึงไม่ชอบ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมีสภาพแห่งข้อหาว่ายังไม่เป็นเงินได้พึงประเมิน โจทก์มิได้ยกข้อเท็จจริงตามที่โจทก์อุทธรณ์กรณีมีการขอเพิ่มยอดหนี้และนำเงินที่ได้รับเพิ่มไปฝากเข้าบัญชีเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดประเด็นไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อที่สามมีว่า เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้เจ้าพนักงานประเมินแก้ไขการประเมินที่ผิดพลาดใหม่ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการประเมินใหม่โดยยกเลิกการประเมินครั้งก่อน แม้การประเมินที่ผิดพลาดดังกล่าวจะอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกเลิกการประเมินและเจ้าพนักงานประเมินได้ยกเลิกการประเมินในครั้งแรกแล้ว ต้องถือเสมือนว่าไม่มีการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ในปีภาษี 2542 ส่วนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินในครั้งใหม่ที่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มมากกว่าการประเมินในครั้งแรก เนื่องจากโจทก์มีเงินได้พึงประเมินแต่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจึงต้องชำระเบี้ยปรับ 2 เท่า และการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาอัตราร้อยละ 50 ของเงินได้จากการอื่นไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ไม่สามารถชี้แจงและนำพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินว่าเป็นเงินได้จากการประกอบกิจการใดและได้รับการยกเว้นภาษี รวมทั้งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรเท่าใดจึงไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่าย ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมใบแนบ ถึง 52 ส่วนเงินเพิ่มที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโจทก์ไม่ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ครบถ้วนภายในกำหนด ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโจทก์ในปีภาษี 2542 ในเรื่องอื่นนอกเหนือไปจากหนังสือแจ้งการประเมินในครั้งแรกแต่อย่างใด แต่เป็นการคำนวณเงินได้สุทธิ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มของโจทก์ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น เมื่อการประเมินครั้งใหม่ทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียงครั้งเดียว จึงไม่เป็นการประเมินซ้ำซ้อนหรือทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซ้ำซ้อนตามอุทธรณ์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์มีเงินได้จากค่าธรรมเนียมการขายลดเช็ค 2,104,138.54 บาท เงินได้จากการอื่น 1,481,000 บาท และเงินได้จากการเลี้ยงไก่ไข่ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนางผ่องศรีภริยาโจทก์ 1,926,670 บาท รวมแล้วเป็นเงินได้พึงประเมิน 5,511,808.54 บาท แต่โจทก์ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้ภริยาโจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ตาม แต่ก็เป็นการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะในส่วนของเงินได้จากการเลี้ยงไก่ไข่เท่านั้น พฤติการณ์ของโจทก์จึงมีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร การที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share