คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4053/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา72ที่ว่า”กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น”มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นขณะเดียวกันพร้อมกับการข่มเหงและบันดาลโทสะหากแต่หมายความว่ากระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่ ผู้ตายโกรธและทะเลาะกับน้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปล่ามวัวที่ทำให้วัวของผู้ตายตื่นผู้ตายร้องด่าไปตลอดทางที่เดินไปบ้านน้องภริยาจำเลยซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วยแล้วผู้ตายใช้ไม้ตีฝาบ้านน้องภริยาจำเลย2ถึง3ครั้งจำเลยห้ามปรามผู้ตายไม่ยอมหยุดกลับใช้ไม้ตีฝาบ้านอีกพฤติการณ์ของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมทำให้จำเลยโกรธผู้ตายการที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะและแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปรามแล้วจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างออกมาประมาณ15เมตรการกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ตายที่ข่มเหงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดอันถือได้ว่ากระทำต่อผู้ตายที่ข่มเหงในขณะนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงใช้ไม้ตีผู้ตายในขณะนั้นอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 2 ปี ริบของกลาง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายเงินหรือหล้า โยโพแฮ ผู้ตายโกรธและทะเลาะกับนางสาวจันทร์เป็ง จอมติ น้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปมัดวัด (หมายถึงล่ามวัว) ที่มาทำให้วัวของผู้ตายตื่น ผู้ตายร้องด่าว่าควย ๆ ไปตลอดทางที่เดินไปบ้านนางสาวจันทร์เป็งซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย แล้วผู้ตายใช้ไม้ตีฝาบ้านนางสาวจันทร์เป็ง 2 ถึง 3 ครั้ง จำเลยห้ามปราม ผู้ตายไม่ยอมหยุดจำเลยจึงออกไปใช้ไม้ตีผู้ตาย 1 ครั้ง ถูกที่ศีรษะเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัส กะโหลกศีรษะแตกยุบ สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.1 คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยหรือไม่ ได้ความว่าผู้ตายโกรธและทะเลาะกับนางสาวจันทร์เป็งน้องภริยาจำเลยซึ่งไม่ยอมไปมัดวัวที่ทำให้วัวของผู้ตายตื่น ผู้ตายจึงร้องด่าว่าควย ๆ ไปตลอดทางที่เดินไปบ้านนางสาวจันทร์เป็งซึ่งจำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย แล้วผู้ตายใช้ไม้ตีฝาบ้านนางสาวจันทร์เป็ง 2 ถึง 3 ครั้ง จำเลยห้ามปรามผู้ตายไม่ยอมหยุด กลับใช้ไม้ตีฝาบ้านอีก พฤติการณ์ของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมทำให้จำเลยโกรธผู้ตาย การที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้ลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปราม ต่อมาจึงได้มีการใช้ไม้ตีซึ่งกันและกัน โดยที่จำเลยมิได้ใช้ไม้ตีผู้ตายทันทีทันใดที่พบผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72ที่ว่า “กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น” มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นขณะเดียวกันพร้อมกับการข่มเหงและบันดาลโทสะ หากแต่หมายความว่ากระทำความผิดในขณะที่บันดาลโทสะอยู่ แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลุกขึ้นเดินตามผู้ตายไปและร้องห้ามปรามแล้วจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายที่หน้าบ้านจำเลยซึ่งปรากฏว่าอยู่ห่างออกมาประมาณ 15 เมตร ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.3 การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ตายที่ข่มเหงในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกันอันถือได้ว่ากระทำต่อผู้ตายที่ข่มเหงในขณะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะและพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share