คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4047/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ค่าพิมพ์หนังสือแก่โจทก์อันเป็นการรับฟังว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่มี มูลหนี้อยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบ ให้เห็นชัดแจ้งถึงการสำคัญแห่งสัญญาว่าจ้าง และข้อเท็จจริง ที่ยืนยันว่าจำเลยห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คพิพาทโดยมีเจตนาทุจริต การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยฟังว่าเช็คพิพาทที่จำเลยออก เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่ต้องด้วย การรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง ข้อเท็จจริงของศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อ ปรากฏว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือนคดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัยให้ ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินกำหนดระยะเวลา 2 ปี ที่โจทก์ อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งได้ จึงต้องฟังว่าขณะโจทก์ฟ้อง คดีมูลหนี้ตามเช็คพิพาทยังคงมีอยู่ แม้ต่อมาโจทก์จะไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งขอให้จำเลยชำระหนี้ตามมูลหนี้ดังกล่าว ก็เป็นคนละส่วนกับการกระทำผิดอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีในส่วนอาญาจะเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 หรือไม่ จะต้องเป็นกรณีที่มูลหนี้ ที่ผู้กระทำผิดออกเช็คชำระหนี้นั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมี คำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญา ซึ่งหมายความถึงกรณีที่มูลหนี้นั้นได้ระงับไปตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยการชำระหนี้ ปลดหนี้ หักกลบลบหนี้ หรือมีการแปลงหนี้ใหม่ดังนั้น การที่เจ้าหนี้มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งจนเป็นเหตุให้หนี้ขาดอายุความจึงไม่อาจถือว่ามูลหนี้เดิมสิ้นความผูกพันโดยหนี้นั้นได้ระงับแล้วไม่เพราะมูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ยังมีอยู่ ยังไม่ได้ระงับไป เพียงแต่ต้องห้ามตามกฎหมายมิให้ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งจากจำเลยเนื่องจากโจทก์ละเลยมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เท่านั้นกรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติ อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าจำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่และหนี้ตามเช็คขาดอายุความเรียกร้องทางแพ่งเป็นเหตุให้คดีอาญาเลิกกันตามกฎหมายแล้วหรือไม่ในปัญหาแรกจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นชัดแจ้งถึงสาระสำคัญแห่งสัญญาว่าจ้าง และข้อเท็จจริงที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คพิพาทโดยมีเจตนาทุจริต การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยฟังว่าเช็คพิพาทที่จำเลยทั้งสองออกเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจริงไม่ต้องด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตรงกันว่า จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ค่าพิมพ์หนังสือแก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คพิพาทเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยแจ้งว่าจำเลยทั้งสองมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน จำเลยที่ 2เบิกความแต่เพียงว่ามูลหนี้ตามเช็คไม่ชัดเจน โดยมิได้นำสืบพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นชัดแจ้ง ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่มีมูลหนี้อยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนในปัญหาว่าหนี้ตามเช็คขาดอายุความเรียกร้องทางแพ่งเป็นเหตุให้คดีอาญาเลิกกันตามกฎหมายหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวจำเลยทั้งสองฎีกาว่ามูลหนี้ทางแพ่งได้ขาดอายุความโดยโจทก์มิได้ดำเนินการฟ้องเรียกร้องทางแพ่งภายในกำหนด 2 ปี เห็นว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินกำหนดระยะเวลา 2 ปี ที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งได้ จึงต้องฟังว่าขณะโจทก์ฟ้องคดีมูลหนี้ตามเช็คพิพาทยังคงมีอยู่ แม้ต่อมาโจทก์จะไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามมูลหนี้ดังกล่าวก็เป็นคนละส่วนกับการกระทำผิดอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง คดีในส่วนอาญาจะเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 หรือไม่นั้น จะต้องเป็นกรณีที่มูลหนี้ที่ผู้กระทำผิดออกเช็คชำระหนี้นั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาซึ่งหมายความถึงกรณีที่มูลหนี้นั้นได้ระงับไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยการชำระหนี้ ปลดหนี้ หักกลบลบหนี้หรือ มีการแปลงหนี้ใหม่ ดังนั้น การที่เจ้าหนี้มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งจนเป็นเหตุให้หนี้ขาดอายุความจึงไม่อาจถือว่ามูลหนี้เดิมสิ้นความผูกพันโดยหนี้นั้นได้ระงับแล้วไม่ เพราะมูลหนี้ที่จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทชำระหนี้ยังมีอยู่ ยังไม่ได้ระงับไปเพียงแต่ต้องห้ามตามกฎหมายมิให้ใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งจากจำเลยทั้งสองเนื่องจากโจทก์ละเลยมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทและโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้โดยจำเลยทั้งสองไม่อาจแสดงข้อแก้ตัวอย่างอื่นที่ไม่ต้องรับผิดจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share