แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดและเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งมีราคาประเมินที่ทางราชการรับรองมีมูลค่ารวมกันแล้วเกินกว่าหนึ่งล้านบาททั้งจำเลยยังประกอบอาชีพเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเอกชน มีรายได้เดือนละ70,000 บาท เชื่อได้ว่าจำเลยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินที่มีต่อโจทก์จำนวน 729,345 บาท และจำเลยยังประกอบอาชีพที่มีรายได้สูงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้และแม้ว่าที่ดินและห้องชุดดังกล่าวจำเลยจะได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาภายหลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องคดีล้มละลายแล้วก็ตามแต่ทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์อาจบังคับชำระหนี้ได้นั้นไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่ก่อนหรือได้มาภายหลังจากที่จำเลยถูกโจทก์ฟ้องคดีล้มละลายแล้ว ย่อมเป็นทรัพย์สินที่โจทก์สามารถบังคับชำระหนี้ได้ หามีกฎหมายกำหนดว่าต้องเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนฟ้องคดีล้มละลายไม่ จำเลยจึงมิใช่บุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ควรพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 17 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 23465/2528 โดยเมื่อรวมต้นเงินดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแล้วเป็นเงิน 1,311,581.39 บาทจำเลยที่ 1 เลิกประกอบกิจการแล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด คดีถึงที่สุด สำหรับจำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จำนวน 729,345 บาทโจทก์มีหนังสือทวงถามแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว สมควรมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามหลักฐานหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเอกสารหมาย ล.4-ล.5 และสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.8 มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และราคาประเมินซึ่งทางราชการรับรองมีมูลค่ารวมกันแล้วเกินกว่าหนึ่งล้านบาท ทั้งจำเลยที่ 2 ยังประกอบอาชีพเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเอกชน มีรายได้เดือนละ 70,000 บาทเชื่อได้ว่าจำเลยมีทรัพย์สินราคามากกว่าหนี้สินที่มีต่อโจทก์และยังประกอบอาชีพที่มีรายได้สูงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินและห้องชุดดังกล่าวจำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์มาภายหลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องคดีนี้แล้ว แสดงว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดี จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินใดที่โจทก์จะยึดมาชำระหนี้ได้ เข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น เห็นว่า ทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์อาจบังคับชำระหนี้ได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่ก่อนหรือได้มาภายหลังจากที่จำเลยถูกโจทก์ฟ้องคดีล้มละลายแล้วก็ตามย่อมเป็นทรัพย์สินที่โจทก์สามารถบังคับชำระหนี้ได้ หามีกฎหมายกำหนดว่าต้องเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนฟ้องคดีล้มละลายไม่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จำเลยที่ 2 จึงมิใช่บุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่ควรให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลาย
พิพากษายืน