คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4039/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ระบุว่า นายจ้างและลูกจ้างยินยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิใด ๆ ที่จะพึงมีตามสัญญานี้เพื่อระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการก่อน ถ้าปรากฏว่าไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป เป็นผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำข้อพิพาทดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลแรงงานกลางก่อนที่จะให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไม่ได้ตามที่พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 บัญญัติไว้ แต่คำฟ้องของโจทก์เป็นการอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติไว้ มิใช่เป็นการฟ้องเกี่ยวกับกรณีพิพาทซึ่งเกิดจากสัญญาจ้างพนักงานจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขข้อตกลงดังกล่าว
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 44 และข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานข้อ 10 ให้อำนาจศาลแรงงานสอบถามคู่ความแต่ละฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างและสืบพยานใดบ้าง แล้วจดรายชื่อและที่อยู่ของพยานบุคคล สภาพและสถานที่เก็บของพยานเอกสารหรือพยานวัตถุไว้หรือจะให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลแรงงานในวันนั้นหรือภายในกำหนด 2 วัน ก็ได้หากศาลแรงงานเห็นว่าพยานที่คู่ความนำมาสืบยังไม่ได้ข้อเท็จจริงแห่งคดีแจ้งชัด ศาลก็มีอำนาจตามมาตรา 45 ที่จะเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เอง ซึ่งเป็นกรณีที่มีบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีแรงงานเป็นการเฉพาะแล้ว ไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และมาตรา 88 มาอนุโลมใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ได้
กิจการของจำเลยประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่องนับแต่เริ่มดำเนินกิจการในปี 2538จนถึงปี 2542 รวมเป็นเงินถึง 40 ล้านบาท และนอกจากโจทก์แล้วจำเลยยังได้เลิกจ้างพนักงานอื่น ๆ อีก 2 คน แต่จำเลยมีทุนจดทะเบียนดำเนินการถึง 208,500,000 บาทประกอบกับจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าปกติการดำเนินธุรกิจประกันภัยสหกรณ์อย่างเช่นกิจการของจำเลยจะขาดทุนต่อเนื่องในระยะเวลา 6 ปีแรก และไม่ปรากฏว่าภาวะขาดทุนของจำเลยในขณะที่เลิกจ้างโจทก์กับแนวโน้มในการดำเนินกิจการของจำเลยในปีต่อ ๆ ไปนั้นจะต้องประสบภาวะวิกฤตจนถึงขั้นไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้หากไม่แก้ไขการจัดการโดยวิธีเลิกจ้างโจทก์ ฉะนั้นจึงต้องถือว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ยังไม่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2

โจทก์ที่ 1 ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่ปี 2538 ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้าย 81,580 บาท ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิชาการและแผน ต่อมาวันที่ 21มิถุนายน 2543 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543อ้างว่าจำเลยขาดทุน จำเลยมีนโยบายปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่เป็นการกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว เพราะเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยมีการแข่งขันมากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงจุดคุ้มทุนและมีกำไร จำเลยเพิ่งประกอบธุรกิจประกันชีวิตเมื่อปี 2538นับถึงวันฟ้อง (วันที่ 2 สิงหาคม 2543) เป็นเวลาเพียง 4 ปี จำเลยทราบอยู่แล้วว่าในช่วงระยะเวลา 5 ปีแรก นับจากจำเลยประกอบธุรกิจประกันชีวิตจำเลยต้องขาดทุนการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดใด การเลิกจ้างของจำเลยเป็นการผิดสัญญาจ้างและข้อบังคับของโจทก์(ที่ถูกน่าจะเป็นของจำเลย) ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานต่อไปในตำแหน่งเดิมคือหัวหน้าฝ่ายวิชาการและแผน ในอัตราเงินเดือน 81,580 บาท หากจำเลยไม่ประสงค์รับโจทก์ที่ 1 เข้าทำงานขอให้จ่ายค่าเสียหาย 9,300,120 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1

โจทก์ที่ 2 ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2537ทำงานในตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าสำนักผู้จัดการซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทราบความเป็นไปของจำเลยตลอดจนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมทั้งมติต่าง ๆ ของจำเลยกรรมการจำเลยบางคนที่เป็นผู้แทนสหกรณ์ผู้ถือหุ้นเริ่มมีพฤติกรรมมิชอบ เช่นโจทก์ที่ 2ชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมการจำเลยว่าองค์คณะของคณะกรรมการบริหารไม่ถูกต้องตามข้อบังคับจำเลยข้อ 13 วรรคสาม จำเลยเจตนาดำเนินการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีที่ให้รับประกันชีวิตเฉพาะบุคคลในครอบครัวสมาชิกสหกรณ์โดยจำเลยรับประกันชีวิตบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประกวดนางสาวไทยปี 2543 ซึ่งจำเลยไม่ได้รับเบี้ยประกันภัยแต่จำเลยต้องชำระเบี้ยประกันภัยต่ออีกจำนวนหนึ่ง โจทก์ที่ 2 ทำหน้าที่กำกับดูแลการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกตั้งกรรมการจำเลยเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี 2538ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการทุจริต แต่ในปี 2543 ก่อนมีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกตั้งกรรมการจำเลย โจทก์ที่ 2 ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายรับประกันชีวิต ปรากฏว่าการเลือกตั้งกรรมการจำเลยในปี 2543 มีการทุจริต กรรมการจำเลยบางคนต้องการให้โจทก์ที่ 2 พ้นจากการเป็นพนักงานจำเลย พยายามกลั่นแกล้งโจทก์ที่ 2 จะให้โจทก์ที่ 2 ชดใช้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของอดีตกรรมการจำเลยที่ใช้ไปโดยไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติ โจทก์ที่ 2 ได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่จำเลยต้องบังคับชำระหนี้จากอดีตกรรมการจากหลายสาเหตุดังกล่าวกรรมการจำเลยซึ่งไม่พอใจโจทก์ที่ 2 ไม่สามารถหาเหตุให้โจทก์ที่ 2 พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยได้ จึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ที่ 2ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 อ้างว่าจำเลยขาดทุนต่อเนื่องและกรรมการจำเลยมีนโยบายปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเหตุผลเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ดังกล่าวขัดกับการปฏิบัติของจำเลยเองคือจำเลยขึ้นเงินเดือนให้ผู้รักษาการในตำแหน่งผู้จัดการ ตั้งตำแหน่งเพิ่มคือหัวหน้าฝ่ายอำนวยการธุรกิจ หัวหน้าสำนักผู้จัดการ หัวหน้าแผนกบริการผู้ถือกรรมธรรม์มีการขึ้นเงินเดือนและปรับเงินเดือนให้บุคคลทั้งสาม มีการจ้างพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการตลาด ขัดกับมติที่ประชุมกรรมการจำเลยเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม2542 ที่ไม่ให้เพิ่มอัตรากำลัง นอกจากนี้ข้อบังคับการทำงานของจำเลยไม่ได้ระบุให้จำเลยเลิกจ้างพนักงานได้เพราะเหตุจำเลยต้องการปรับลดค่าใช้จ่าย ฉะนั้นการเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ที่ 2 เสียหาย โจทก์ที่ 2 สามารถทำงานได้จนถึงอายุ 60 ปี โจทก์ที่ 2 ขาดรายได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2543 เดือนละ51,300 บาท เป็นเงิน 2,177,100 บาท โจทก์ที่ 2 ขาดรายได้จากค่าชดเชยตามกฎหมายหากโจทก์ที่ 2 ทำงานจนถึงอายุ 60 ปี อีก 60 วัน เป็นเงิน 106,200 บาท ขาดรายได้จากเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและผลประโยชน์ร้อยละ 50 หากโจทก์ที่ 2 ทำงานจนถึงอายุ 60 ปี เป็นเงิน 90,000 บาท รวมค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 2,373,300บาท โจทก์ที่ 2 ไม่ประสงค์ทำงานกับจำเลยอีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2

จำเลยสำนวนแรกให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เพราะจำเลยขาดทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2538 ถึงปี 2542 เป็นเงิน 40 ล้านบาท จึงเห็นควรให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในหมวดเงินเดือนและค่าจ้างตามนโยบายของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ที่ 1 และมิได้เลิกจ้างโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวจำเลยได้จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี วันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม สินจ้างแทนบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายแล้ว โจทก์ที่ 1 เรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมสูงเกินส่วน หากจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ก็ไม่แน่ว่าโจทก์ที่ 1 จะอยู่ทำงานจนถึงอายุ 60 ปี ศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจพิจารณาเนื่องจากตามสัญญาจ้างข้อ 9 ระบุว่าโจทก์ที่ 1 และจำเลยตกลงกันในเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อน ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยสำนวนหลังให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 เพราะจำเลยขาดทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2538 ถึงปี 2542 เป็นเงิน 40 ล้านบาท จึงเห็นสมควรให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในหมวดเงินเดือนและค่าจ้างตามนโยบายของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ที่ 2 และมิได้เลิกจ้างโจทก์ที่ 2 เพียงคนเดียว จำเลยได้จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี สินจ้างการแทนบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายแล้ว ส่วนสาเหตุที่โจทก์ที่ 2 อ้างว่าจำเลยกลั่นแกล้งต้องการให้โจทก์ที่ 2 พ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยนั้นเป็นเท็จ ค่าขาดรายได้จากเงินเดือนเดือนละ 51,300 บาท รวมเป็นเงิน 2,177,100 บาท นั้นสูงเกินส่วน หากจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ก็ไม่แน่ว่าโจทก์ที่ 2 จะอยู่ทำงานจนถึงอายุ 60 ปี โจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ชดเชย 106,200 บาท เพราะนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยต่อเมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเท่านั้น แม้โจทก์ที่ 2 ทำงานจนครบเกษียณก็มิใช่เป็นการเลิกจ้าง โจทก์ที่ 2 ต้องขอรับเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและผลประโยชน์จากคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มิใช่เรียกร้องจากจำเลย โจทก์ที่ 2 ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ที่ 2 เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อใด มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ร้อยละ 50 อย่างไร จำเลยไม่เข้าใจข้อหาและคำขอบังคับจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจพิจารณาเนื่องจากตามสัญญาจ้างข้อ 9ระบุว่าโจทก์ที่ 2 และจำเลยตกลงกันให้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่เป็นธรรม โจทก์ที่ 1 กับจำเลยไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.5 และล.6 ข้อ 9 ใช้ข้อความว่า “นายจ้างและลูกจ้างยินยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิใด ๆที่จะพึงมีตามสัญญานี้เพื่อระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการก่อน ถ้าปรากฏว่าไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป” แต่ปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองแล้ว สัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.5 และ ล.6 จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยและโจทก์ทั้งสองอีก โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางได้ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 448,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 จำนวน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลาง เนื่องจากสัญญาจ้างพนักงานระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยระบุไว้ว่าในกรณีที่ข้อพิพาทจะต้องประนีประนอมโดยอนุญาโตตุลาการก่อน ศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้นั้น เห็นว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยตามสัญญาจ้างพนักงานเอกสารหมาย ล.5 และ ล.6 ข้อ 9 ระบุว่า “นายจ้างและลูกจ้างยินยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิใด ๆ ที่จะพึงมีตามสัญญานี้เพื่อระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการก่อน ถ้าปรากฏว่าไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป” ข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายว่าในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเกี่ยวกับสิทธิอย่างใดตามสัญญาจ้างพนักงานซึ่งโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ตกลงจัดทำไว้ตามเอกสารหมาย ล.5 และ ล.6 คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องเสนอข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการให้เป็นผู้ชี้ขาดก่อนและเป็นผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำข้อพิพาทดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลแรงงานกลางก่อนที่จะให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไม่ได้ตามที่พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 10 บัญญัติไว้เว้นแต่จะเป็นกรณีที่ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะหรือไม่สามารถระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการได้ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่ามูลกรณีที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองนั้นเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติไว้ มิใช่เป็นการฟ้องเกี่ยวกับกรณีพิพาทซึ่งเกิดจากสัญญาจ้างพนักงานตามเอกสารหมาย ล.5และ ล.6 แต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะนำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลแรงงานกลางได้เนื่องจากมิได้อยู่ในเงื่อนไขข้อตกลงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงโดยพิจารณาจากผลงานวิจัยของชาวเยอรมันตามเอกสารหมาย จ.1ประกอบกับรายงานกิจการประจำปี พ.ศ. 2539 เอกสารหมาย จ.11 ว่า จำเลยทราบดีว่าปกติธุรกิจประกันภัยสหกรณ์อย่างจำเลยจะขาดทุนต่อเนื่องในระยะเวลา 6 ปีแรก นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองอ้างเอกสารหมาย จ.1 และจ.11 เป็นพยานโดยมิได้ระบุเอกสารทั้งสองฉบับไว้ในบัญชีระบุพยานโจทก์ทั้งสอง การรับฟังข้อเท็จจริงจากเอกสารดังกล่าวของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 29บัญญัติหลักการสำคัญในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแรงงานไว้ว่าจะต้องเป็นไปโดยประหยัด สะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม หากประเด็นใดคู่ความไม่อาจตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันได้มาตรา 39 ก็บัญญัติให้ศาลแรงงานจดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ระบุให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำพยานเข้าสืบก่อนหรือหลังแล้วกำหนดวันสืบพยานไปทันที ในการสืบพยานของคู่ความนั้นตามมาตรา 44 และข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ข้อ 10 ซึ่งออกใช้บังคับโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 29 ให้อำนาจศาลแรงงานสอบถามคู่ความแต่ละฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างและสืบพยานใดบ้าง แล้วจดรายชื่อและที่อยู่ของพยานบุคคล สภาพและสถานที่เก็บของพยานเอกสารหรือพยานวัตถุไว้หรือจะให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลแรงงานในวันนั้นหรือภายในกำหนด 2 วัน ก็ได้ หากศาลแรงงานเห็นว่าพยานที่คู่ความนำมาสืบยังไม่ได้ข้อเท็จจริงแห่งคดีแจ้งชัด ศาลก็มีอำนาจตามมาตรา 45 ที่จะเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่เห็นสมควรและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ซึ่งเป็นกรณีที่มีบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีแรงงานเป็นการเฉพาะแล้ว ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และมาตรา 88 มาอนุโลมใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ได้ เมื่อศาลแรงงานมีอำนาจเรียกพยานมาสืบได้เองหรือกำหนดให้คู่ความนำพยานมาสืบโดยจะให้ยื่นบัญชีระบุพยานหรือไม่ก็ได้ดังกล่าวมาแล้ว การที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองอ้างเอกสารหมาย จ.1 และจ.11 เป็นพยานและรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่จำเลยอุทธรณ์ว่าภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่เป็นธรรมตกแก่โจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง

คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่ากิจการของจำเลยประสบภาวะการขาดทุนต่อเนื่องนับแต่เริ่มดำเนินกิจการในปี 2538 จนถึงปี 2542 รวมเป็นเงินถึง 40 ล้านบาท และนอกจากโจทก์ทั้งสองแล้วจำเลยยังได้เลิกจ้างพนักงานอื่น ๆ อีก 2 คน ตามที่จำเลยอุทธรณ์ก็ตาม แต่จำเลยมีทุนจดทะเบียนดำเนินการถึง 208,500,000 บาท ปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้าเอกสารหมาย ล.1 ประกอบกับจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าปกติการดำเนินธุรกิจประกันภัยสหกรณ์อย่างเช่นกิจการของจำเลยจะขาดทุนต่อเนื่องในระยะเวลา 6 ปีแรก และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่าภาวะการขาดทุนของจำเลยในขณะที่เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองกับแนวโน้มในการดำเนินกิจการของจำเลยในปีต่อ ๆ ไปนั้นจะต้องประสบภาวะวิกฤตจนถึงขั้นไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้หากไม่แก้ไขการจัดการโดยวิธีเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ฉะนั้นจึงต้องถือว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองนั้นยังไม่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share