คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4030/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การเคหะแห่งชาติโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์อันเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ย่อมตกอยู่ในบังคับอายุความตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 10 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่กรณีนี้เป็นการเฉพาะที่กำหนดว่า สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนมิใช่นับแต่วันที่จำเลยรับเงินไว้จากลูกค้าแทนโจทก์แล้วยักยอกไป
หลังเกิดเหตุโจทก์ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหาผู้ต้องรับผิดและคณะกรรมการสอบสวนได้เสนอเรื่องให้ผู้ว่าการของโจทก์ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้นำเงินของโจทก์ไปใช้ ซึ่งจะต้องรับผิดต่อโจทก์เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2542 จึงถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมดทดแทนตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2542 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 9 มีนาคม 2544 ยังไม่เกินกำหนด 2 ปี จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ พ.ศ.2537 มีนายสุกรี คุ้มพันธุ์ เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งช่างเทคนิคระดับ 2 สำนักงานเคหะชุมชนจันทบุรี ปัจจุบันโจทก์ได้ลงโทษทางวินัยให้จำเลยออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์แล้ว เนื่องจากจำเลยขาดงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นเวลาเกินกว่า 7 วันทำการ ขณะทำงานในระหว่างวันที่ 2 มีนาคม 2541 ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2542 จำเลยได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสำนักงานเคหะชุมชนจันทบุรีจากผู้เช่าซื้อหลายรายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 828,901 บาท แล้วได้ยักยอกเงินดังกล่าวไปทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 828,901 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิเรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 828,901 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 9 มีนาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาได้ความว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งช่างเทคนิค ระดับ 2 สำนักงานเคหะชุมชนจันทบุรี ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลการรับเงินค่าเช่าซื้อจากลูกค้าของโจทก์ จัดเก็บรักษาและนำเงินที่รับไว้จากลูกค้าส่งให้แก่โจทก์ ระหว่างวันที่ 2 มีนาคม 2541 ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2542 จำเลยรับเงินค่าเช่าซื้อจากลูกค้าของโจทก์รวม 16 ครั้ง เป็นเงิน 828,901 บาท แล้วไม่มีการนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งให้แก่โจทก์ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการเดียวว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อนี้จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานของรัฐ จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดเพียง 2 ปี ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 10 วรรคสอง เห็นว่า เมื่อโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์อันเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ย่อมตกอยู่ในบังคับอายุความตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 10 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีนี้เป็นการเฉพาะที่กำหนดว่า สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หาใช่นับแต่วันที่จำเลยรับเงินไว้จากลูกค้าแทนโจทก์แล้วยักยอกไปดังที่อุทธรณ์มา และเมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมาว่า หลังเกิดเหตุโจทก์ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหาผู้ต้องรับผิดและคณะกรรมการสอบสวนได้เสนอเรื่องให้ผู้ว่าการของโจทก์ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ว่าจำเลยได้นำเงินของโจทก์ไปใช้ ซึ่งจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.15 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2542 จึงถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2542 ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 9 มีนาคม 2544 ยังไม่เกินกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share